เรื่องมันมีอยู่ว่า กระทรวงพาณิชย์มาพร้อมกับเสียงฮือฮา เจ้ากระทรวงจากมืออาชีพศุภจี สุธรรมพันธุ์สู่รัฐมนตรี แต่ที่ดังกว่าเดิมมีข่าวลือหนาหูว่า ปลัดกระทรวงพาณิชย์ วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ทิ้งเก้าอี้มานั่งรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ <> พรรครวมไทยสร้างชาติ ของลุงตู่ได้เวลาเก็บฉากเรียบร้อย หลังอยู่มา 4 ปี พรรคแตก หมดอายุไปอีกหนึ่งพรรค <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
ฮือฮากระทรวงพาณิชย์ในมือ‘หนู’
เมื่อ‘วุฒิไกร’ทิ้งปลัดนั่งเสนาบดี
กรณีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ‘เดอะแต๋ม’ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ มือดีด้านเศรษฐกิจ เป็นที่ยอมรับของสังคมว่า ฮือฮาแล้ว ว่าที่รมช.กระทรวงพาณิชย์คนใหม่ น่าจะเป็นที่ ‘ฮือฮา’ กว่า เพราะมีไม่บ่อยนักที่ ข้าราชการระดับปลัดกระทรวง ‘วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์’ ปลัดกระทรวงพาณิชย์เมื่อปีที่ผ่านมา มี ‘ข่าวลือหนาหู’ ออกมาว่าจะโบกมือลาทิ้งเก้าอี้มานั่งรัฐมนตรี ทั้งๆที่มีระยะเวลา ‘สั้นสั้น’เพียง 4 เดือนเท่านั้นที่สำคัญ งานนี้ ‘เงียบถึงเงียบมาก’ ซะด้วยซิ
ปลัด วุฒิไกร ถือเป็นลูกหม้อ กระทรวงพาณิชย์ ไต่เต้าจากตำแหน่งข้าราชการเล็กๆ และเติบโตมาตามลำดับ จาก ผอ.กองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2547 และต่อมาปี 2551 เป็น ผอ.สถาบันกรมพระจันทบุรีนฤนาถ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก่อนขยับมาตามลำดับ นั่งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา นั่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและสุดท้ายนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงพาณิชย์

ล่าสุด บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า นายวุฒิไกร ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร ได้แจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด โดยการลาออกดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 10 กันยายนเป็นต้นไป
ในกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ จะมีกระทรวงพาณิชย์เป็น 1ในนั้น แต่ในช่วง 2 นายกรัฐมนตรีของรัฐบาล ‘พรรคเพื่อไทย’ ถือว่า ทำกระทรวงพาณิชย์ ‘เสียโอกาส’ เป็นอย่างยิ่ง สมัย พิชัย นริพทะพันธุ์ งานของกระทรวงแทบจะไม่มีอะไร ‘โดดเด่น’ ออกมา เพราะเจ้ากระทรวงเน้นงานต่างประเทศ ไม่เน้นงานภายใน และสุดท้ายก็ถูก ‘คนในพรรค’ วิจารณ์ถึงความมือไม่ถึงในการทำงาน ท่ามกลางมาตรการกำแพงภาษีทรัมป์
และหากย้อนดูก่อนหน้านี้สมัย ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นเจ้ากระทรวง ก็ยิ่งไม่มีอะไรมากไปกว่า การมาสะสางปัญหาโครงการ ‘รับจำนำข้าว’ ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภาพ ‘กินข้าว’ ล็อตสุดท้ายที่เกิดจากโครงการที่เก็บไว้ตั้ง 10 ปีนั้น ยัง‘ติดตรึงตา’ ประชาชนมาจนถึงตอนนี้
ถ้าไม่เรียกว่า ‘เสียของ’ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
ส่วนครั้งล่าสุดก่อน ‘เปลี่ยนขั้วการเมือง’ ก็ต้องยอมรับว่า จตุพร บุรุษพัฒน์ หรือ ‘ปลัดตุ๋ม’นั้นเวลาน้อยเกินไป
การดึง ‘คนหน้าตาดี’ มาร่วมทีมเศรษฐกิจของอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นการสะท้อนว่า นายกฯหนูนั้น ‘คอนเนคชัน’ไม่ธรรมดา ส่วนเรื่องผลงานระยะเวลาเท่านั้นจะเป็น ‘เครื่องพิสูจน์’
ถ้าไม่ได้เป็นแค่เรื่องลือ หากดึง‘ปลัดวุฒิไกร’มาได้นั้นคือการบอกให้รู้ว่า ‘อัสสัมชัญคอนเนคชัน’ นั้น ‘มีอยู่จริง’ อิอิ
<<<<<>>>>>
รทสช.พรรค‘รวมกันเฉพาะกิจ’
ปิดฉาก4ปี‘หนีตาย’กันจ้าละหวั่น
‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’คือสโลแกนคำขวัญของ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคการเมือง ที่จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อ 31 มีนาคม 2564 หรือ 4 ปีที่ผ่านมา และบัดนี้ทำท่าจะเข้าทำเนียบ‘พรรคเฉพาะกิจ’ ช้อยเก็บฉาก ลาโรงละครการเมืองไทย
การลาออกของบรรดา สส.ในพรรคเป็นปัญหา ‘ปลายเหตุ’ เป็น ‘จุดจบจุดจาก’ ที่ยากจะประสาน แต่ที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่ ‘ร่วมหอลงโรง’กับพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้งปี 66 ต่างหากที่นำมาซึ่ง ‘จุดเปลี่ยน’
จุดแรกน่าจะอยู่ที่หัวหน้าพรรค ‘เดอะตุ๋ย’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่นั่งเก้าอี้รองนายกฯและรมว.พลังงาน แต่‘ผลงานไม่มี’ ถ้าเป็นมวยก็ประเภท ‘มวยเชิงดีการ์ดสูง’ หมัดเท้าเข่าศอกครบ แต่ดันเอาแต่ ‘เต้นฟุตเวิร์ค’ อาวุธมีของมีแต่ ‘ไม่ออกอาวุธ’ มาตรการลดค่าครองชีพแทบ ไม่เห็นไม่เข้าตา
ขณะที่ ‘บุคคลิก’ส่วนตัวที่แทบไม่ต่างจาก เพียร์ซ บรอสแนน พระเอกหนัง ‘เจมส์บอนด์ 007’ ที่เข้าถึงยาก ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพรรคการเมืองเกิดใหม่ที่มากันหลากหลาย ‘ร้อยพ่อพันแม่’
แต่ ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ คือกรณีคลิปลุง-หลานที่สังคมเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ แสดงท่าที ว่ากันว่าท่าทีที่พรรคในวันนั้น โน้มเอียงไปในทางถอนตัว แต่พอไปที่ทำเนียบรัฐบาลท่าทีกลับสวนทางแบบ ‘หน้ามือหลังเท้า’
เหตุการณ์วันนั้นทำเอา ‘ผู้สนับสนุนหลักทั้งใหญ่ทั้งน้อย’ ถอดใจและแทบสิ้นหวัง ยิ่งหลังมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ แต่รวมไทยสร้างชาติในส่วนของหัวหน้าพรรคก็ยัง ‘ไม่รู้ร้อนหนาว’จับมือเป็นรัฐบาลกันต่อ
ขณะที่อีกส่วนนั้น ‘ไปแล้ว’ และสุดท้ายคือ ‘ส่วนสำคัญ’ ที่ล้วนสนับสนุนและคุ้นเคยสมัยอยู่บ้านเก่าประชาธิปัตย์กับเดอะตุ๋ยก็ ‘โบกมือลา’ เรียบร้อย

‘ขิง’ หรือ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ประกาศกลางวงประชุมลาออกจากคณะกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) ไปแล้ว รวมไปถึง ‘เดอะมุ่ง’ อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ,ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ แถมด้วย 3 สส.เมือง ‘หอยใหญ่ไข่แดง’ วชิราภรณ์ กาญจนะ สส.สุราษฎร์ธานี เขต 3 กานสินี โอภาสรังสรรค์ สส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 ธานินท์ นวลวัฒน์ สส.สุราษฎร์ธานี เขต 7 และเดี๋ยวจะตามมาด้วย 3 เมืองชุมพรปีกของ ชุมพล จุลใส
เมื่อผลงานไม่มี แถมท่าทียัง ‘คาใจ’ สังคมและกองเชียร์ซึ่งล้วนตามมาเพราะเชื่อใน ‘พลังของลุง’ ที่ต่าง ‘หมดหวัง’โยนผ้าทิ้ง การ‘จากกัน’ ทางการเมืองจึงเกิดขึ้น เร็วกว่าที่คิด แต่ก็ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้