เรื่องมันมีอยู่ว่า เป็นคำถามที่รอคำตอบมานานว่าใครฆ่าเสื้อแดง และวาทกรรมนี้ถูกนำมาใช้บ่อยครั้ง ต้องรอดูว่าแกนนำเสื้อแดงช่วงนั้นจะเล่าความจริงเหตุการณ์นี้อย่างไร<>การทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ง่ายอย่างที่เห็น มีความซับซ้อน หากทำผิดพลาดโอกาสเป็นโมฆะสูง <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
แผลเก่าการเมืองของ‘อภิสิทธิ์’
‘ใครฆ่าเสื้อแดง’ให้ถามจตุพร
ไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย กรณี นิสิตจุฬาฯ กลุ่มชูป้าย ‘ประท้วง’ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันก่อน
จริงอยู่ที่ว่า ‘ใครฆ่าคนเสื้อแดง’ ยังเป็นคำถามที่สังคมรอคำตอบ

ที่บอกว่า ‘ใครฆ่า’ นั้น อาจจะไม่ได้หมายถึงคนที่สั่งให้ปฏิบัติการเพื่อนำความสงบสุขของสังคมคืนมา แต่น่าจะหมายความรวมไปถึง ‘คนที่พาคนมาตาย’ เพื่อความมุ่งหมายทางการเมืองบางอย่าง
เหตุการณ์ ‘ม็อบเสื้อแดง’ แม้จะผ่านมานานแต่ความ ‘อยากรู้’ของสังคม ดูเหมือนจะน้อยกว่าความ ‘อยากลืม’ ก็มี ‘คำถาม’ ออกมาทุกครั้งโดยเฉพาะหากเป็นความเคลื่อนไหวของอภิสิทธิ์
ถ้าจำได้ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดงคนดัง ‘แง้ม’ เค้าลาง ของความรุนแรงให้เห็นเป็นระยะ ๆ ยังจำวลี ‘แก้ว 3 ประการ’ ที่ดังก้องอยู่บนเวทีกันได้นะ
คดี ‘การเสียชีวิตของคนเสื้อแดง’ ในปี 2553 ในระยะหลังๆถูกนำมาพูดถึงเพื่อใช้โจมตีทางการเมืองโดยเฉพาะกับ อภิสิทธิ์ ซะเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งการให้ ‘คนรุ่นใหม่’ ที่เป็นตลาดการเมืองของบางพรรค มาจุดประเด็นคำถาม ยิ่งสะท้อนถึง การช่วงชิงพื้นที่ทางการเมือง ในคนรุ่นใหม่และเขตเมืองได้เป็นอย่างดี
จำได้ว่าเหตุการณ์ทำนองนี้สมัยอภิสิทธิ์ ไปขึ้นเวทีที่ มธ.ท่าพระจันทร์ สมัยเป็นนายกฯและถูกแกนนำกลุ่มแรงงานรายหนึ่ง ซึ่งภายหลังก็แสดงความชัดเจนว่าสังกัดพรรคการเมืองไหน ไปตะโกนและถูกนำมาใช้โจมตีอภิสิทธิ์ว่า ‘ดีแต่พูด’
เรื่องการตายของคนเสื้อแดง หนึ่งในผู้ที่รับรู้เรื่องนี้ ‘ดีที่สุด’ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ตู่’ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ครั้งนั้นเป็นแกนนำคนสำคัญ แต่ปัจจุบัน ตู่ได้ออกมายืน ‘ตรงกันข้าม’ กับแกนนำคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทยและทักษิณ ชินวัตร
‘สมมุติว่า’ ถ้า ‘ตู่’ จะฝาก ‘ตำนาน’ ทางการเมืองในประวัติศาสตร์ได้ ‘จารึก’ เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2552-2553 จะเป็นอะไรที่น่าฟัง
หาก‘จตุพร’ จะเอ่ยปากบอกเล่าถึง‘เบื้องลึกเบื้องหลัง’
ถ้าเวลานั้นมาถึง. ได้ ‘ตาสว่าง’กันแน่
<<<<<>>>>>
‘ประชามติ’ทาง‘ไปรษณีย์’
ข้อเสนอที่‘กกต.’ยังไม่สนอง
ได้ยิน แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ‘แบ่งสู้แบ่งรับ’ข้อเสนอของพริษฐ์ วัชรสิทธุ สส.พรรคประชาชน ที่ให้ทำประชามติล่วงหน้าผ่านไปรษณีย์ ไว้ว่า
‘ต้องแยกกันระหว่าง การทำประชามติล่วงหน้าทางไปรษณีย์กับการทำประชามติทางไปรษณีย์เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งการทำประชามติทางไปรษณีย์สามารถทำได้ตามกฎหมาย หรือหมายถึงการทำประชามติในวันที่กำหนดให้มีการออกเสียงทำประชามติ ไม่ใช่ทำในวันเลือกตั้งล่วงหน้า’
ว่ากันว่า ขณะนี้ กกต.ร่างคำของบประมาณที่ใช้จัดการเลือกตั้งไว้ 2 แนวทาง คือ
1.การจัดการเลือกตั้งและการทำประชามติ ‘ภายในวันเดียวกัน’ จะใช้งบฯ 9,000 ล้านบาท
2.หากจัดการเลือกตั้ง กับประชามติ ‘แยกกัน’ งบประมาณที่ใช้อยู่ที่ 12,900-13,000 ล้านบาท
‘แสวง’ ยอมรับว่า หากทำประชามติ ‘วันเดียว’ กับการเลือกตั้ง จะมีปัญหาหลายด้านตามมา เช่น 1.ด้านบริหารจัดการของ กกต. ที่ตอนนี้ยังไม่ทราบจำนวนคำถามประชามติ อาทิ จำนวนบัตร ,กระดานนับคะแนน หากคำถามมาก ก็ใช้กระดานนับคะแนนมาก เช่น ถ้าใช้ 6 คำถาม ก็ต้องใช้ 6 กระดาน
ที่สำคัญ การเลือกตั้ง สส. มีการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า แต่การทำประชามติ ‘ไม่มี’ การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า เป็นการลงประชามติวันเดียวกันทั่วประเทศ อาจจะมีปัญหาในการ ‘นับคะแนน’
‘หากจัดในวันเดียวกัน เช็กยากมาก สับสนทั้งคนจ่ายบัตร คนรับบัตรเลือกตั้ง กับบัตรออกเสียงประชามติ รวมกัน 4 ใบ การนับคะแนนก็จะใช้เวลาเพิ่มขึ้น เวลาขานพร้อมกัน 4 ใบ บริหารจัดการไม่ดี เห็นชอบ,ไม่เห็นชอบไม่รู้กระดานไหน สำนักงานต้องบริหารจัดการให้ถูกต้อง’
ส่วนเรื่อง การบังคับใช้ พ.ร.บ.เลือกตั้ง สส. กับ พ.ร.บ.ประชามติ กับการพูดเรื่องประชามติในเวทีหาเสียง และพูดหาเสียงบนเวทีประชามติ ซึ่งจะต้องบังคับใช้กฎหมายทั้ง2ฉบับควบคู่กัน
‘การจัดเวทีแสดงความคิดเห็นประชามติ จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มาออกเวทีด้วยความเสมอภาค ซึ่งจะต่างจากการเลือกตั้งที่จะมีเวทีหาเสียง บางทีถ้าทำคู่กันไปจะดูยาก เพราะการพูดบนเวทีหาเสียงสามารถพูดประเด็นประชามติได้แน่ แต่เวทีประชามติจะพูดหาเสียงได้แค่ไหน เพราะติดเรื่องการ ห้ามชี้นำ’
ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นแค่ ‘น้ำจิ้ม’ และ ‘สุ่มเสี่ยง’ ที่จะเกิดความยุ่งยากตามมา เผลอๆอาจจะทำให้อย่างหนึ่งอย่างใดเป็น ‘โมฆะ’ ซึ่งไม่มีใครปรารถนาจะให้เกิดขึ้น
ยุ่งกว่าที่คิดไว้เยอะเลยแฮะ!


