เรื่องมันมีอยู่ว่า ศึกซักฟอก‘ค้ำ’ขบเหลี่ยม‘แค้น’ ธรรมนัส‘ศูนย์รวมความบันเทิง’ , จาก‘หมอนทอง’ถึง‘ศุภชลาศัย’ 2ปรากฎการณ์ที่ต้องรีบ‘พัฒนา’

9 พ.ย. 2568 - 23:45

  • ฝ่ายค้านเสียงแตกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

  • ฝ่ายค้ำยืนยันหาวิธีการอื่นตรวจสอบได้ แต่ฝ่ายแค้นจะขอยื่นเอง

  • ทีมหมอนทองปลุกฟุตบอลไทย และควรจะปลุกสนามศุภชลาศัยด้วย

เรื่องมันมีอยู่ว่า ศึกซักฟอก‘ค้ำ’ขบเหลี่ยม‘แค้น’ ธรรมนัส‘ศูนย์รวมความบันเทิง’  , จาก‘หมอนทอง’ถึง‘ศุภชลาศัย’ 2ปรากฎการณ์ที่ต้องรีบ‘พัฒนา’

เรื่องมันมีอยู่ว่า   แม้เป็นรัฐบาลที่กำหนดอายุตัวเองล่วงหน้า ก็ยังต้องผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ  แต่ฝ่ายค้ำ และฝ่ายแค้น เดินแยกทาง ร้องคนละเพลง รอดูว่าจะลงเอยอย่างไร<>ปรากฎการณ์ทีมหมอนทองวิทยา ทำให้การดูฟุตบอลของคนไทยเปลี่ยนไป  และสิ่งหนึ่งที่ตามมาคือ ถึงเวลาพัฒนาปรับปรุงสนามศุภชลาศัยแล้วหรือยัง<>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า

ศึกซักฟอก‘ค้ำ’ขบเหลี่ยม‘แค้น’

ธรรมนัส‘ศูนย์รวมความบันเทิง’

‘โฆษกโต้ง’ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งข่าวมายังกลุ่มไลน์ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันศุกร์ที่7 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็น ‘แถลงการณ์’ ของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย ที่ยืนยันว่า จะยุบสภาฯ ภายใน 120 วัน หรือ วันที่ 31 มกราคม 2569 ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับพรรคประชาชนและพร้อมยอมรับการตรวจสอบและยินดีชี้แจง

มีรายละเอียด 8 ข้อดังนี้

1. จะยุบสภาภายใน 120 วัน ซึ่งจะครบวันที่ 31 มกราคม 2569 ตามMOA ที่ทำไว้กับพรรคประชาชน

2. ย้ำว่า MOA นั้นมีสาระสำคัญ คือ

-แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

-จัดให้มีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันเลือกตั้งสส.

-ยุบสภาภายใน120 วัน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย

-พรรคประชาชน เป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบ ให้คำแนะนำ การทำงานของรัฐบาล

3. รัฐบาล 120 วัน มีภารกิจสำคัญ 3 ประการ คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ จัดทำประชามติ และ ยุบสภา

4. ในห้วงเวลา 120 วันในฐานะนายกฯต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชน ของประเทศ 4 เรื่อง คือ ปัญหาเศรษฐกิจ,ความมั่นคง ,ภัยธรรมชาติ และ ภัยสังคม

5. ผมรู้ตัวตลอดเวลา ว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากมีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง รัฐบาลย่อมไม่มีทางที่จะมีเสียงสนับสนุนมากกว่า ก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แต่ถ้าเป็นการยื่นญัตติเปิดอภิปราย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาของประเทศร่วมกัน ผมพร้อมให้ความร่วมมือ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นอภิปรายเท่านั้น จัดเวทีประชุม หรือพูดคุยหารือกัน ในลักษณะแบบนี้ได้ทั้งนั้น

6.หากมีการยื่นญัตติอภิปรายฯก็พร้อมชี้แจง แม้จะมีในข้อตกลงก็ตามและไม่เคยคิดที่จะจับรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน

7. ที่ผ่านมา ผมจะเชิญ สส.รังสิมันต์ โรม มาหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เพื่อแก้ปัญหาสแกมเมอร์ แต่ยังไม่ได้พบกัน เพราะเวลาไม่ตรงกัน

8. ขอให้พรรคประชาชน ที่สนับสนุนให้มีรัฐบาลนี้ และ ประชาชนที่กำลังรอการเลือกตั้งใหม่ เชื่อมั่นได้ว่านายกรัฐมนตรี จะปฏิบัติตาม ‘ข้อตกลง’ ทุกประการ ตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภา

พลันที่แถลงการณ์ปรากฎออกสู่สาธารณะ ‘ไหม’  ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ ‘กลับ’ ทันทีว่า

‘กระบวนการตรวจสอบรัฐบาลสามารถทำได้หลายทาง ทุกวันนี้เราก็ทำหน้าที่ในการตรวจสอบทุกวัน โดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเราคิดว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการกำกับพรรคภูมิใจไทยให้ปฏิบัติตาม MOA แต่ไม่ปฏิเสธว่าถ้ามีเรื่องร้ายแรง ที่เราไม่สามารถให้พรรคภูมิใจไทยบริหารประเทศต่อไปได้อีกแม้แต่วันเดียว เราไม่ลังเลใจที่จะยื่นแน่นอน แม้จะเท่ากับว่า MOA จะสูญเปล่า แต่จนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่พบข้อมูลที่คิดว่าร้ายแรงสุดๆ’

ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ยังแสดงท่าทีในการเป็นฝ่ายค้ำรัฐบาลอนุทิน ด้วยเหตุผลตรวจสอบทุกวัน ไม่จำเป็นต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ยังแสดงท่าทีในการเป็นฝ่ายค้ำรัฐบาลอนุทิน ด้วยเหตุผลตรวจสอบทุกวัน ไม่จำเป็นต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ทั้งท่าทีของ ‘อนุทิน’ และทั้ง ‘ท่วงทำนอง’ ของ ‘ศิริกัญญา’ ล้วนสะท้อนว่า พรรคประชาชน ยังปรารถนาที่จะเป็น ‘ฝ่ายค้ำ’ รัฐบาลต่อไป

ที่ต้องรู้ก่อน คือ ใน 1 ปีสมัยประชุมสภา สามารถ ‘ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ’ได้ 1ครั้ง สมมุติว่า ถ้าพรรคประชาชน ไม่ยื่นญัตติไม่ไว้วางใจและเลือกใช้กระบวนการอื่นในการตรวจสอบรัฐบาล เสียงข้างน้อยที่ยืนยันแทบจะทุกวันว่ายุบสภาภายใน120วันแน่ ก็ไม่เห็นจะ ‘แปลกอะไร’ และ ‘ไม่แปลกใจ’อีกเช่นกัน หากพรรคเพื่อไทยซึ่งอยู่ในฐานะ ‘ฝ่ายแค้น’ จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้วยเพราะ ‘พื้นที่ทางการเมือง’ นั้น ‘ขบเหลี่ยม’ กันอยู่

ถึงวันนี้ก็ยังไม่ชัดว่า ‘เป้าใหญ่’ จะอยู่ที่ นายกฯหรือรองนายกฯและรมว.เกษตรฯ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งเป็น ‘ศูนย์รวมความบันเทิง’ กันแน่

ที่พรรคเพื่อไทยยังไม่ชัดและเกิดอาการ ‘หันรีหันขวาง’ นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าจะ‘ซักฟอก’เขา ระวัง ‘ขว้างงูไม่พ้นคอ’ เพราะ เขาจะ ‘ซักฟอกกลับ’ ถามหน่อย ‘โคลนที่เปื้อน’ สมัยเป็นรัฐบาล ล้างเกลี้ยงแล้วใช่มั้ย

<<<<<<>>>>>> 

จาก‘หมอนทอง’ถึง‘ศุภชลาศัย’

2ปรากฎการณ์ที่ต้องรีบ‘พัฒนา’

ปรากฏการณ์ ‘หมอนทอง’ ที่ผ่านไปได้ทิ้ง ‘คำถาม’ มากมายเพื่อให้ ‘ทุกฝ่าย’ได้ร่วมกันพัฒนาต่อยอด เพราะเป็น ‘อีกครั้ง’ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘กีฬา’ นั้น สร้างชาติ สร้างความสามัคคีของคนในชาติได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

1 ในคำถามที่ได้ยินกันก็คือ สนามศุภชลาศัย ‘ใจคอ’ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่คิดที่พัฒนาบ้างเลยหรือ

เรื่องการพัฒนาสนามศุภชลาศัยนั้น จริงๆคิดกันมานานแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีรูปธรรมอะไรให้ได้เห็นเด่นชัด ถึงตอนนี้ ‘พื้นที่’ ย่านนั้น พร้อมสรรพและครบองค์ประกอบที่ สนามศุภชลาศัยจะต้อง ‘ปฎิรูป’ กันครั้งใหญ่

สมัย สรวงศ์ เทียนทอง นั่งรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เคยให้ข่าวว่า จะเป็นคนกลางในการหารือร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในส่วนของอาคารกีฬานิมิบุตร สนามศุภชลาศัย ซึ่งกรมพลศึกษาหมดสัญญาแล้ว จึงอยากให้จุฬาฯ ปล่อยพื้นที่ให้เอกชนบริหารจัดการเอง เป็นรูปแบบสถานที่จัดคอนเสิร์ต สนามกีฬาในร่มที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

สรวงศ์ ยังบอกด้วยว่า ขนาด อาคารราชมังคลากีฬาสถาน ที่ดูแลโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.)อยู่นั้น ขณะนี้เริ่มมีการหารือกันแล้วว่าต้องการดูแลต่อไปหรือไม่ หรืออาจทำเป็นสัมปทาน หรือ ทำเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี)

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ. 2478 หลวงศุภชลาศัย อธิบดีกรมพลศึกษา ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีแนวคิดที่จะก่อสร้างกรีฑาสถานแห่งชาติ และได้พิจารณาว่า ที่ดินทำเลบริเวณ ‘วังใหม่ที่ปทุมวัน’หรือ‘วังวินเซอร์’ ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามบรมราชกุมาร องค์แรกแห่งสยามประเทศ ตั้งอยู่บริเวณทุ่งปทุมวัน ชาวต่างประเทศที่พบเห็นต่างพากันเรียกว่า ‘วังวินด์เซอร์’ เนื่องจากมีสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกับพระราชวังวินด์เซอร์ ที่ประเทศอังกฤษ

กรีฑาสถานแห่งชาติ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2480 และกรมพลศึกษาย้ายมาอยู่ที่ สนามกีฬาแห่งใหม่นี้เมื่อ พ.ศ. 2481 พร้อมทั้งย้ายการแข่งขันกรีฑาประชาชนชาย ประจำปี พ.ศ. 2481 จากสนามหลวงมาจัดที่นี่ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขัน เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2484

กรมพลศึกษาได้เปลี่ยนชื่อสนามกรีฑาสถาน เป็นสนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติแก่ หลวงศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ มีประวัติศาสตร์มากมาย เป็นสถานที่แข่งขันกีฬาระดับอาเซียน เอเชีย ระดับโลกและนานาชาติหลายครั้ง ใช้จัดคอนเสิร์ตระดับโลกอย่าง‘ไมเคิล แจ็คสัน’ เมื่อปี 2536 (1993) รวมไปถึงคอนเสิร์ตของวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อก้องโลกอย่าง ‘BLACKPINK’

การพัฒนาสนามศุภชลาศัยเคยถูกต่อต้านเหตุเพราะมีแนวคิดที่ ‘ทุบ’ แล้ว ‘สร้างใหม่’ ครั้งหนึ่งในกรรมาธิการการกีฬา สภาผู้แทน‘เคย’หยิบเรื่องนี้ไปถกกัน ผอ.สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า

‘ยืนยันว่าการพัฒนาทรัพย์สิน จุฬาฯ เอาสังคมเป็นตัวตั้ง หากมีการคืนพื้นที่ครบ ทั้งยังรวมถึงสนามศุภชลาศัย พื้นที่นี้ก็จะเป็นแหล่งการออกกำลังกายตั้งอยู่ใจกลางเมืองให้มีความทันสมัยที่สุด ซึ่งจุฬาฯ กำลังให้มีการออกแบบทุกจุด สนามศุภชลาศัยต้องเป็นสนามกีฬาแห่งชาติจริงๆ ให้เกิดแลนด์มาร์ก มีคนมาเที่ยวเพื่อเทียบเท่ากับต่างชาติมาตรฐาน FIFA การคืนพื้นที่จึงเป็นการรักษาคอนเซ็ปต์นี้ เจตนาการคืนพื้นที่เรามีเจตนาดี เพราะเราคิดพัฒนาให้มีคุณค่าและดีที่สุดต่อประชาชน’

ล่าสุดได้ข่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะจับมือกทม.ในยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เพื่อร่วมกัน‘ต่อยอด’ ทำสนามศุภชลาศัยให้เป็น ‘แลนด์มาร์คใหม่’ ระดับชาติ ครบวงจรแบบนานาชาติทำกัน

รีบ ๆ ทำเถอะครับ สังคมไทยอยากเห็น ‘เต็มแก่’ แล้ว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์