เรื่องมันมีอยู่ว่า บ้านใหญ่หลายพื้นที่มีการปรับเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น แต่บ้านใหญ่สระแก้วสายลุงป้อม ยังเก็บตัวเงียบอยู่ในป่ารอยต่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง <> เปิดตัว ประกาศทำพรรคเศรษฐกิจ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ ก้าวขึ้นมาเป็นตัวตึงทางการเมืองทันที ลีลา ดุดัน พูดตรง ชัดเจน นี่แค่เริ่มต้น <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
‘เทียนทอง’บ้านใหญ่ จ.สระแก้ว
‘ขวัญเรือน-ตรีนุช’และ‘บิ๊กป้อม’
เห็น ‘บ้านใหญ่’ ในพื้นที่เลือกตั้งแถบ ภาคกลาง-ภาคตะวันออก ‘ตบเท้า’ เข้าพรรคสีน้ำเงินภูมิใจไทยกันสนั่นหวั่นไหว แต่ไหงบ้านใหญ่ จ.สะแก้ว ที่มีตระกูล ‘เทียนทอง’ เป็นผู้ครอบครองพื้นที่การเมืองมานานแสนนาน ผ่านรุ่นสู่รุ่น กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆออกมา
‘ป๋าเหนาะ’ หรือ เสนาะ เทียนทอง วันนี้ ‘วางมือทางการเมือง’ ไปเป็นที่เรียบร้อย คงเหลือไว้แต่ ‘ทายาท’ ที่แม้ 3 เขตเลือกตั้งในจ.สระแก้วจะ ‘เทียนทอง’ ทั้งหมด แต่เป็น ‘เทียนทอง’ คนละสายกัน
เขต 1 มี ‘เจ๊ขวัญเรือน’ หรือ ขวัญเรือน เทียนทอง เป็นเจ้าของพื้นที่ ขณะที่เขต 2 มี ‘บิ๊ก บอย’ หรือ สรวงศ์ เทียนทอง อดีตรมว.ท่องเทียวและกีฬา อดีตเลขาธิการพรรรคพื่อไทย ทายาทแท้ๆของ ‘ป๋าเหนาะ’ กับ อุไรวรรณ เป็นเจ้าของพื้นที่ ส่วนเขต 3 นั้นเป็นพื้นที่ของ ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน
ขวัญเรือน นั้นเป็น ‘น้องสะใภ้’ ของ ‘ป๋าเหนาะ’ ขณะที่ ‘เหน่ง’ หรือ ตรีนุช นั้นก็เป็น ‘หลานสาว’ เพราะ คุณพ่อของตรีนุช ที่ชื่อ พิเชษฐ์เป็นน้องชายแท้ ๆ ของป๋าเหนาะ
วันก่อน ‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจความนิยมทางการเมืองพื้นที่ ‘ภาคตะวันออก’ ซึ่ง 1ในนั้นคือ จ.สระแก้ว พบว่า ‘คะแนนความนิยม’ ของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ‘ดีกว่า’ คะแนนความนิยมของพรรค ขณะที่ พรรคเพื่อไทย คะแนนความนิยมทั้งคนและทั้งพรรค ‘ถดถอย’ ลงไปมาก สาเหตุสำคัญน่าจะมาจาก ปัญหาไทย-กัมพูชา ซึ่งหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ สรวงศ์ มีสิทธิ์ ‘เหนื่อยหนัก’
แต่ที่น่าแปลกใจคือ จ.สระแก้ว นี้มีคะแนนความนิยมของ ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งตรงนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะ มี ‘แม่-ลูก’ อย่างขวัญเรือน-ตรีนุช อยู่ในสังกัดหรือไม่
พูดถึงพรรคพลังประชารัฐวันนี้ หากนับนิ้วกันดูจะพบว่า ที่เป็น สส.ในการเลือกตั้ง ปี2566 นับไปนับมา นอกจาก ‘บิ๊กป้อม’ แล้วก็มี ‘ขวัญเรือน-ตรีนุช’ นี่แหละที่ยังไม่ไปไหน
ส่วนจะไปไหนหรือไม่ หรือ จะอยู่บ้านป่ารอยต่อฯกับ ‘ลุงป้อม’ ต่อไปหรือไม่นั้น ‘สิ้นปี’ นี้ก็น่าที่จะมี ‘คำตอบ’
<<<<<>>>>>>
‘พล.อ.รังษี’กำลังจะเป็น‘ชูวิทย์2’
‘สีสัน’ที่การเมืองไทยไม่เคยขาด
‘นิด้าโพล’ โพลแห่งแรกของประเทศ เผยผลสำรวจคะแนนความนิยมทางการเมือง ‘รายภาค’ ซึ่งเปิดเผยมาแล้ว 3-4 ภาค พบข้อมูล ‘น่าสนใจ’ อยู่ประการหนึ่งว่า ในความนิยมของพรรคการเมือง มีชื่อ ‘พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์’ สอดแทรกขึ้นมา
พล.อ.รังษี มีชื่อเล่นว่า ‘ตี๋’ เกิด 13 พฤศจิกายน 2506 เป็นคนบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เชื้อสาย ‘จีนแต้จิ๋ว’เรียนจบโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เริ่มต้นรับราชการทหารที่กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์
ครั้งมียศพันโท หันมาดูงานด้านมวลชนและการพัฒนาในพื้นที่ แถบ 3 จังหวัดชายแดนใต้ หลังติดยศ พล.ต.,พล.ท.นั่งเป็นที่ปรึกษากองทัพภาคที่ 1 จากนั้นก็ ‘นั่ง’ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ผอ.ช่อง5’ ซึ่งตำแหน่งนี้นี่แหละที่ทำให้ พล.ท.รังษี กลายเป็นที่ที่รู้จักในสังคมอย่างกว้างขวาง
ครั้งทำหน้าที่อยู่ ททบ.5 เกิดกรณีการนำเสนอข่าว ‘รัสเซีย-ยูเครน’ และจะนำช่อง 5 ไปเป็นพํนธมิตรด้านข้อมูลข่าวสารกับรัสเซีย ซึ่งเป็นการ ‘ล้ำเส้น’ อย่างร้ายแรง จึงถูกบีบให้ลาออกจากจากตำแหน่ง และกระโดดลงสนามการเมืองเมื่อไม่นานมานี้
ก่อนมาเป็น ‘พรรคเศรษฐกิจ’ ที่มี พล.อ.รังษี เป็นหัวหน้าพรรคนั้น เดิมเป็นพรรคเส้นด้ายมาก่อน ที่มีผู้ก่อตั้งคนสำคัญ ชื่อ คริส โปตระนันทน์ อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ตอนหลังแยกออกมาทำ‘กลุ่มเส้นด้าย’ จากนั้นกลายมาเป็น ‘พรรคเส้นด้าย’ และกลายเป็นพรรคเศรษฐกิจในที่สุด
พล.อ.รังษี ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง สมาคมสื่อมวลชนนานาชาติประเทศไทย หรือ IMCT ที่วันนี้ตั้งอยู่ที่อาคารศรีจุลทรัพย์
อันว่า IMCT นี้ เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อเร็วๆนี้เอง โดยมีวัตถุประสงค์ผลิต และนำเสนอ ‘คอนเทนต์’ สถานการณ์โลก ในมุมมองที่แตกต่างไปจากสื่อตะวันตก โดยได้รับการสนับสนุนเป็นครั้งคราวจาก กระบอกเสียงรัฐบาลหลังม่านไม้ไผ่
ต้องยอมรับว่าในแง่ของ ‘ข้อมูลข่าวสาร’ และงานมวลชน ก็ต้องบอกว่า พล.อ.รังษี เชี่ยวชาญไม่เบา ยิ่งงานข่าวต่างประเทศ ยิ่งถนัด จึงไม่แปลกใจหากทัศนะต่อกรณีปัญหา ‘ไทย-กัมพูชา’ จะเป็นที่โดนอกโดนใจผู้คนในสังคม
การเมืองทุกยุคทุกสมัย มักจะมีผู้อาสาประชาชน ชนิด ‘คมชัดลึก’ อย่างนี้แทบทุกครั้ง สมัย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก่อตั้งพรรครักประเทศไทย ก็กลายเป็นขวัญใจขาโจ๋ และที่สุดหลังการเลือกตั้งก็คว้ามา 5-6 เก้าอี้ ชนิดงงกันทั้ง ‘วงการเมือง’
อีกราวๆ 60 วันจะ ‘ยุบสภา’ (31มกราคม 2569) ตามที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯลั่นวาจาไว้ กับอีก45-60 วัน ซึ่งเป็น ‘ระยะเวลา’ ของการจัดการเลือกตั้ง หากพล.อ.รังษี ‘ไม่แผ่วปลาย’ ก็น่าจะเชื่อได้ว่า มีโอกาสได้เป็นปรากฏการณ์ ‘ชูวิทย์ 2’ เป็นแน่
