เรื่องมันมีอยู่ว่า เรื่องแปลกของฝ่ายค้านชุดนี้ มี‘ฝ่ายแค้นและฝ่ายค้ำ’ อยู่ร่วมกัน วันแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ อาจเห็นฝ่ายค้านลุกขึ้นมาชำระแค้นกันเองก็ได้ <> วาระที่ต้องทำของรัฐบาลอนุทินคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการนิรโทษกรรม เรื่องรัฐธรรมนูญก็ว่ากันไป ส่วนนิรโทษกรรมอาจจะจบแบบ‘คนละครึ่ง’ <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
ในฝ่ายค้านมี‘ฝ่ายแค้น-ฝ่ายค้ำ’
‘ของแปลก’การเมืองที่หาดูยาก
การแถลงนโยบายรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทยต่อรัฐสภา ซึ่งจะมีขึ้น ในช่วงระหว่าง 29 กันยายน -1 ตุลาคม หรือ1 ตุลาคม - 2 ตุลาคม มีหลายเรื่องให้ต้องจับตา
นโยบาย ‘ควิกบิ๊กวิน’ ที่ต้อง ‘เปรี้ยงปร้าง’ ดุจสายฟ้าฟาด ที่รัฐบาลหมายมั่นปั่นมือว่า จะสร้างความพอใจให้สังคมใน 120 วัน หวังแก้ไขปัญหาแบบผ่อนหนักให้เป็นเบา แถมด้วยการวางโครงสร้างแบบเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เพื่อต่อยอด ‘ขอโอกาส’ กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
จะถูก ‘ชำแหละ’ แบบมีคำติมากกว่าคำชมเป็นแน่ ซึ่งกรณีนี้ น่าจะเกิดในฝ่ายค้านที่เรียกว่า ‘ค้านแบบแค้น’อย่างพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ ‘คุณสมบัติ’ ของรัฐมนตรี ‘บางคน’ ในรัฐบาล ‘หนูราชสีห์’ จะถูกฝ่ายค้านซึ่งกำลังถูกเรียกว่า ‘ค้านแบบค้ำ’ นั้น ‘ขุดคุ้ย’ เพื่อตอกย้ำกับสังคมว่า พวกเราคือฝ่ายค้านของแท้
ฝ่ายค้าน วิจารณ์ รัฐบาล นั้นปกติธรรมดาทางการเมือง แต่ที่ดูนับวันจะกลายเป็น ‘ของแปลก’ และ ‘หาดูยากยิ่ง’ คือ ‘ฝ่ายค้านในฝ่ายค้าน’ ด้วยกันเองซะมากกว่า
ใครจะเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งปี 2566 พรรคอันดับ 1 อย่างก้าวไกลที่แปลงร่างมาเป็น พรรคประชาชนในวันนี้ ซึ่งทั้งเคยจะจับมือ และแข่งกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทย เวลานี้จะมาทำหน้าที่ ‘ฝ่ายค้าน’ ร่วมกันแล้ว ปล่อยเก้าอี้ให้พรรคอันดับ 3 อย่าง พรรคภูมิใจไทย เป็นรัฐบาลแทน
ในมุมรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น ‘น่าสนใจ’ น้อยกว่า ฝ่ายค้านเสียงข้างมาก ที่วันนี้ต่างฝ่ายต่างช่วงชิงทางการเมืองระหว่างกัน
เรื่องแรกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ดูเผินๆเหมือนเดิน ‘ทางเดียวกัน’ แต่เอาเข้าจริงๆท่าที ‘ต่างกัน’อย่างยิ่ง พรรคประชาชน นั้นหายใจ ‘เข้าออก’ มีแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่พรรคเพื่อไทยสมัยเป็นรัฐบาลดูไม่ค่อยจะจริงจัง ยิ่งมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านก็น่าจะ ‘ตามน้ำ’ เพราะคำนวณแล้วพบว่ายากจะสำเร็จลงได้ในเวลาอันสั้น ขณะที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย นั้นทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจาก ‘พูดแล้วทำ’ ตาม MOA สถานเดียว
เรื่องต่อมา คือการนิรโทษกรรม ที่ดูเหมือน ‘ทุกฝ่าย’ เห็นพ้องต้องกันว่าจะ ‘ผลักดัน’ ให้ผ่านแบบ ‘วินวิน’ กันทั่วหน้า โดยอ้างความปรองดอง ความสมานฉันท์
ขณะที่เรื่องสุดท้ายที่ ‘ฝ่ายค้านแบบแค้น’ กับ ‘ฝ่ายค้านแบบค้ำ’ จะ ‘ช่วงชิงการนำ’ น่าจะอยู่ที่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ถือเป็น ‘มีด’ เล่มสำคัญในการตรวจสอบรัฐบาล
ในสมัยประชุมนี้ ไม่น่าจะทัน แต่ในสมัยประชุมหน้าจะเกิดขึ้นแน่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน บอกกับสังคมและกองเชียร์ว่า จะใช้เป็นมาตรการสุดท้ายหากรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ‘เบี้ยว’ ไม่ทำตามสัญญา
ขณะที่พรรคเพื่อไทยซึ่งประกาศไม่เป็นฝ่ายค้านกับพรรคประชาชนแล้วนั้น จะใช้มีดที่มีอยู่เล่มเดียวของฝ่ายค้าน เพื่อช่วงชิงการนำก่อนไปลงสนามการเลือกตั้ง โดยมี ‘ภาคอีสาน’ เป็นพื้นที่ ‘ชี้ขาด’
ในสถานการณ์การเมืองเวลานี้ พรรคเพื่อไทย เสียหายหนักก็จริง แต่ก็ยังไม่ถือว่า ‘พ่ายแพ้’ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยก็รู้อยู่เต็มอกว่านี่ไม่ใช่ ‘ชัยชนะ’ ที่แท้จริง ส่วนพรรคประชาชน ที่หมกมุ่นกับการแก้ไขกติกาอย่างรัฐธรรมนูญนั้นเพราะเชื่อว่า ถ้าไม่ขายตรงนี้จะสูญเสียมวลชนที่สนับสนุน
วลีที่บอกว่า ‘ศัตรูของศัตรูคือมิตร’ วันนี้น่าจะเปลี่ยนเป็นว่า ‘มิตรของศัตรู’ คือศัตรูยิ่งกว่า เผลอๆอาจจะได้เห็น ฝ่ายค้าน ‘ชำแหละ’ กันเองในเวที แถลงนโยบายก็เป็นไปได้นะ
<<<<<>>>>>
นิรโทษกรรม‘ยาสมานแผล’ของแทร่!
‘วังวน’ ขัดแย้ง-ปรองดอง-สมานฉันท์
พลันที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยประกาศว่า รัฐบาลจะ ‘ไม่มีวันที่ 121’ อย่างแน่นอน หรือพูดง่ายๆก็คือจะอยู่เป็น 4 เดือนตามที่ได้ทำสัญญาทางการเมืองไว้ ถือเป็นการประกาศของฝ่ายบริหาร ที่ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติหรือ สภาผู้แทนราษฎร จำเป็นต้องเร่ง ทำคลอดกฎหมายที่สำคัญอย่างน้อย 2 ฉบับ
ฉบับแรกคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่ว่าด้วยเรื่องกระบวนการแก้ไข เพื่อนำไปสู่การทำประชามติถามประชาชนไปพร่อมกับการเลือกตั้งว่า จะแก้ไขรัฐธรรมทั้งฉบับหรือไม่ และแก้ไขทั้งฉบับแบบที่แก้ไขตามมาตรา 256 หรือไม่ อันนี้คือ ‘เป้าหมายหลัก’ที่ฝ่ายการเมืองกำลัง ‘กระเหี้ยนกระหือรือ’ อยู่ในตอนนี้
แต่อีกเป้าหมายคือ การผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมหรืออีกชื่อที่ ‘ช่างไพเราะเพราะพริ้ง’ว่า พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ‘นัยยะ’ สำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ การลบล้างความผิดให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวันที่ สภาผู้แทนราษฎร ‘รับหลักการ’ ร่างกฎหมายฉบับนี้
ง่ายๆก็คือ การชุมนุมของคนเสื้อเหลือง ตั้งแต่กลุ่มพันธมิตร การชุมนุมคนเสื้อแดงหรือนปช.การชุมนุมของกลุ่ม กปปส.จนมาถึง การชุมนุมขับไล่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของคนรุ่นใหม่ที่ให้การสนับสนุน ‘สีส้ม’ ได้รับผลกัน ‘ทั่วหน้า’
ถึงตอนนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในชั้น กรรมาธิการวิสามัญที่มี ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นประธาน และจะนัดประชุมอีก 2 นัดคือพุธที่ 24 กันยายน กับพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน นี้เพื่อสรุปและจะนำเข้าสู่ สภาผู้แทนราษฎร วาระ 2-3 ก่อนปิดสมัยประชุมในวันที่ 30 ตุลาคมนี้
การนิรโทษกรรมจะไม่นับรวมคดี ‘ทุจริตคอรัปชั่น’ ส่วนคดีที่มี ‘เหตุจูงใจทางการเมือง’ นั้นอยู่ในเงื่อนไข ขณะที่คดีเกี่ยวกับมาตรา 112 ซึ่งน่าจะเป็น ‘จุดตาย’ ของร่างกฎหมายฉบับนี้นั้น มีลักษณะแบบ ‘พบกันครึ่งทาง’
มีการเขียนเปิดช่องไว้ในลักษณะที่ว่า ไม่ให้มีการนิรโทษกรรมความผิดมาตรา 112 แต่สำหรับเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ขณะกระทำความผิดให้ใช้ ‘สิทธิ’ ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการพิจารณาแทน ทั้งนี้การนิรโทษกรรมที่ ‘ทุกฝ่าย’ เห็นพ้องกันอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่เฉพาะคดีอาญาแต่รวมคดีแพ่งด้วย
บางคน ระบุว่าการนิรโทษกรรมนั้นมีบันได 4 ขั้น กล่าวคือ
1.ค้นหาความจริง
2.เปิดเผยความจริง
3.จัดการความจริง
4.ลืม
การค้นหาความจริง ทำมาแล้วหลายเหตุการณ์ ได้ความจริงบ้าง ได้ความคลุมเครือบ้าง ขณะที่การเปิดเผยความจริงก็ทำหลังได้ข้อสรุปจากการค้นหา ส่วนการจัดการความจริงนั้นคือการนำไป การสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ผ่านสิ่งที่เรียกว่า นิรโทษกรรม
ซึ่งในสังคมมักใช้ ‘ยาสูตรนี้’ ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำมาแล้วหลายครั้งแต่ความขัดแย้งทางการเมืองระดับ ‘เจ็บ-ตาย’ ก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
และ ‘สุดท้าย’ ก็คือการให้สังคม ‘ลืม’ ความขัดแย้งนั้นๆไปซะ ทั้งนี้แม้จะแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบ ‘เบ็ดเสร็จ’ ไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่า ปล่อยเป็น ‘แผลเรื้อรัง’ สร้างปัญหาต่อไปเรื่อยๆ การนิรโทษกรรมจึงไม่ต่างอะไรกับ ‘ยาสมานแผล’ ความขัดแย้งในสังคมแบบ ‘ไทยๆ’ โดยแท้