เรื่องมันมีอยู่ ทำทรงมาดี กวาดคะแนนต่อเนื่อง แต่เจอวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้ง คะแนนนิยมภูมิใจไทยกับนายกฯอนุทิน ลอยหายไปกับน้ำท่วม พอเจอของจริงถึงกับออกอาการ <>มองกลับมาที่กรุงเทพมหานคร เลือกตั้งครั้งต่อไปต้องเอาแผนป้องกันน้ำท่วมขึ้นมาพิจารณาด้วยว่า พรรคไหนมีแผนที่ทำได้ ไม่ใช่แค่คุยไปเรื่อยเปื่อย <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
จาก‘โควิด’ถึงน้ำท่วมหาดใหญ่
มีนักการเมืองไว้ทำไม???
กำลังเพลิดเพลิน เมามันกับการ ‘ดูด’ บ้านใหญ่เข้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อเป็นพรรคชนะที่หนึ่ง ได้สิทธิตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล ก็มีอัน‘สะดุด’ สำลักน้ำท่วมหาดใหญ่ หายใจ หายคอ แทบไม่ทัน
คะแนนนิยมที่สร้างไว้ตลอด 2 เดือนกว่า ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี ‘ตกน้ำ’ ป๋อมแป๋มหายหมด
ตลอดสองเดือนกว่าของการเป็นนายกรัฐมนตรี ภาพลักษณ์ของอนุทินดีวันดีคืน ทำอะไรก็ถูกใจประชาชนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเอารัฐมนตรีคนนอกมาทำงานด้านเศรษฐกิจ นโยบายคนละครึ่ง การแก้หนี้ ท่าทีแข็งกร้าวกับเขมร
แต่มาตกม้าตายเมื่อมาเจอกับ ‘ของจริง’ วิกฤตน้ำท่วมที่ร้ายแรงที่สุดที่หาดใหญ่ ที่ต้องมีภาวะผู้นำ ในการแก้ไขปัญหา มากกว่าการลงพื้นที่ไปลุยน้ำ แจกข้าวของ และผัดข้าวผัด
น้ำท่วมหาดใหญ่ เป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่สุดจะป้องกัน อันนี้เข้าใจได้ แต่ทำไมรัฐบาลจึงดู ‘เบาปัญญา’ ไม่มีแผนการรับมือ ช่วยเหลือประชาชนเลยแม้แต่น้อย
ทำไมจึงตั้ง ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร เป็นผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า ธรรมนัส ทำหน้าที่นี้‘ไม่ได้’ ทำได้แต่ชี้นิ้ว ถ่ายคลิปอออกโซเชียล
หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องน้ำและการบริหารจัดการ ภัยพิบัติ ล้วนอยู่ภายใต้‘คนของพรรคภูมิใจไทย’ ไล่มาตั้งแต่ตัวอนุทิน ในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทย ที่มีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น รองนายกรัฐมนตรี โสภณ ซารัมย์ ที่กำกับดูแล สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล สทนช. โดยตรงด้วย
แต่ทำไม ‘โยน’ ไปให้ธรรมนัสจัดการ จะบอกว่าเพราะกรมชลประทาน ต้องดูเรื่องการระบายน้ำ แต่การระบายน้ำก็เป็นแค่ ‘ส่วนหนึ่ง’ ของการแก้ไขความเดือนร้อนของคนหาดใหญ่ เมื่อน้ำมันท่วมแล้ว ยังมีภารกิจอีกหลายอย่างเพื่อรักษาชีวิตและความปลอดภัยของคนในพื้นที่

จนกระทั่ง ‘ราชเลขาธิการ’สำนักพระราชวัง พลอากาศเอกสถิตย์พงษ์ สุขวิมล นำพระราชกระแสรับสั่ง แสดงความห่วงใย และแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ ไปแจ้งต่อที่ประชุม ครม. ด้วยตัวเองนั่นแหละ นายกรัฐมนตรี จึงตัดสินใจมอบหมายภารกิจในการกู้ภัย กู้ชีพ คนหาดใหญ่ให้กับ‘กองทัพ’ โดย‘ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน’ในจังหวัดสงขลา มอบอำนาจให้ พลเอก อุกฤษฏ์ บุญตานนนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ มีอำนาจสั่งการทุกหน่วยงาน
ย้อนกลับไปตอนเกิดโควิด เมื่อห้าปีก่อน อนุทินในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธรณสุข มีหน้าที่โดยตรงในการรับมือกับวิกฤตครั้งนั้น หลังจากผ่านไปสักเดือนเศษๆ การระบาดทั้งในไทยและทั่วโลก รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คงเห็นท่าไม่ไหว จึงตัดสินใจ ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด 19 มาบริหารจัดการวิกฤต โดยนั่งเป็นประธานเอง มีพลเอกสมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคง เป็นผู้ประสานงานหน่วยงานต่างๆ
อันว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศไทยนั้น ถ้าใครรวบรวมเสียง สส. ยกมือให้เกิน 250 เสียง ก็เป็นได้แล้ว
แต่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ใช่ว่าจะเป็น ‘ผู้นำ’ เสมอไป
ผู้นำนั้น ประชาชนต้องฝากผีฝากไข้ ฝากบ้านเมืองไว้ได้ ซึ่งจะวัดกันตอนที่เกิดสถานการณ์ หรือวิกฤตการณ์ว่า มี‘น้ำยา’ในการบริหารจัดการวิกฤตหรือไม่
<<<<<>>>>>>
‘น้ำท่วม’หาดใหญ่-กทม.จมบาดาล
แผนแก้ไขที่สังคมไทย‘อยากเห็น’
น้ำท่วมใหญ่ปี 2553 โดยเฉพาะพื้นที่ กทม.เมืองหลวงของประเทศไทยว่า ‘ใหญ่แล้ว’ น้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาและอีกหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ‘ใหญ่กว่า’
ขณะที่น้ำท่วมพื้นที่ลุ่มภาคกลาง ที่จนถึงขณะนี้เพิ่งจะมี ‘ทีท่า’ ลดลงนั้นต้องยอมรับว่า น้ำท่วมภาคกลางปีนี้ ‘ท่วมเยอะ’ และ‘ท่วมนาน’ กว่าหลายๆปีที่ผ่านมา
การบริหารจัดการน้ำในท่ามกลางสถานการณ์ ‘ภัยธรรมชาติ’ ยุคใหม่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง มีข้อเสนอมากมายออกมา แต่ปัญหาที่แทบจะ ‘ตกร่อง’ ซ้ำซากเฉกเช่นทุกปีก็คือ หลังจากที่สถานการณ์คลี่คลาย‘ผ่านไป’ ข้อเสนอเหล่านั้นก็ ‘เลือนหาย’ไปตามสายลมสายน้ำ
ทั้งน้ำท่วม อ.แม่สาย เหนือสุดแดนสยาม น้ำท่วมพื้นที่ภาคกลางกว่า 20 จังหวัด เรื่อยมาจนน้ำท่วมภาคใต้ที่สถานการณ์ ‘หนัก-เบา’ ไล่เรื่อยไปตั้งแต่ จ.ชุมพร ถึง จ.นราธวาส น่าจะพอมองออกว่า ‘จุดหายนะ’จุดนี้กำลังจะเป็น ‘จุดสำคัญ’ ที่พรรคการเมืองต้องชูเป็นเพื่อใช้หาเสียงในการเลือกตั้งปี 2569
กทม.เป็นพื้นที่สำคัญและ ‘จุดหนึ่ง’ ที่จะ‘ชี้ขาด’ ในชัยชนะ คือนโยบายเกี่ยวกับ การบริหารจัดการน้ำ เพราะลำพังแค่ ผู้ว่าฯกทม.ไม่น่าจะเพียงพอรับมือกับ‘โลก’ ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
มีหลายพรรคการเมืองมองสนามกทม.แบบ ‘ตาเป็นมัน’ กทม มี 33 เขตเลือกตั้ง มีพรรคก้าวไกล ที่วันนี้กลายเป็นพรรคประชาชน ครองพื้นที่ไป 32 เขต
พรรคประชาธิปัตย์ที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมากอบกู้พรรค ‘จะฟื้นหรือจะฟุบ’ ก็อยู่ที่สนามเลือกตั้งกทม.นี่แหละ
ภูมิใจไทย ก็มี โฆษก กปปส.เอกนัฐ พร้อมพันธุ์ นำทีมพรรครวมไทยสร้างชาติ
พรรคกล้าธรรม,พรรคเพื่อไทย เรื่อยไปถึงพรรคเศรษฐกิจของ พล.อ.รังษี กิตติญาณทรัพย์ ล่าสุดก็พรรคไทยก้าวใหม่หรือ ทกม. ของ ‘พี่เอ้’ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ก็ประกาศส่ง สส.พื้นที่ กทม.ครบทั้ง 33 เขต
พูดถึง ‘พี่เอ้’ ซึ่งมีความโดดเด่นด้านวิศวกรรม ให้ทัศนะตั้งแต่ถนนสามเสนยุบตัว ไปจนถึงการจัดการเมืองโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหา ‘กทม.จมน้ำ’
หลวงปู่ศิลา เกจิดังแห่งยุค ทำนายไว้แล้วว่า ปี 2573 กทม.จะจมน้ำ ด้วยสารพัดปัญหา ทั้งดินทรุดทั้งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทั้งโลกร้อนที่ทำให้ฤดูกาลปั่นป่วน
สำหรับการรับมือ‘ภัยธรรมชาติ’ หมดเวลาแล้วที่จะมา‘วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอก’


