เรื่องมันมีอยู่ว่า จับตากกต. ยุค‘ผลัดใบ’ คดีฮั้วส.ว.-ประชามติ-เลือกตั้ง‘รออยู่’ , ‘คมนาคม’ในเงื้อมมือ‘พิพัฒน์-มัลลิกา’ จับตาแก้สัญญา‘รถไฟฟ้า3สนามบิน’

25 ก.ย. 2568 - 23:45

  • กกต.กำลังเข้าสู้ช่วงการผลัดใบตามวาระ ต้องมีการสรรหาคนใหม่เข้ามาแทน

  • ไม่ว่าจะเป็นคนเดิม หรือคนใหม่ เรื่องใหญ่รออยู่มากมาย เช่นฮั้ว สว.,การทำประชามติ

  • กระทรวงคมนาคมกลับมาอยู่ในมือภูมิใจไทยอีกครั้ง ค่อยหายใจคล่องขึ้น งานใหญ่รออยู่อีกเหมือนกัน

เรื่องมันมีอยู่ว่า จับตากกต. ยุค‘ผลัดใบ’  คดีฮั้วส.ว.-ประชามติ-เลือกตั้ง‘รออยู่’ , ‘คมนาคม’ในเงื้อมมือ‘พิพัฒน์-มัลลิกา’ จับตาแก้สัญญา‘รถไฟฟ้า3สนามบิน’

เรื่องมันมีอยู่ว่า  ถึงเวลา กกต.ผลัดใบ ต้องมีการเลือกคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่คนเก่าที่ต้องออกตามวาระ จะคนเก่าหรือคนใหม่ งานช้างรออยู่ หนัก ๆ ทั้งนั้น <> กระทรวงคมนาคมก็กลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทยอีกครั้ง กระทรวงนี้ถือเป็นกล่องดวงใจของบุรีรัมย์ คอนเนคชัน งานใหญ่ก็รออยู่เช่นกัน  <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า

จับตากกต. ยุค‘ผลัดใบ’

คดีฮั้วส.ว.-ประชามติ-เลือกตั้ง‘รออยู่

ในการพิจารณาคดี ‘ฮั้วสว.’ ที่ประกอบด้วย สว. ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน 138 คนและเป็น กก.บห.พรรคภูมิใจไทยและเครือข่าย 91 คนนั้น

‘หัวใจ’ สำคัญ  อยู่ในกระบวนการของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.ที่ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ออกมาอธิบายกับสังคมว่ามี 4 ชั้นด้วยกัน กล่าวคือ

ชั้นที่ 1 กกต.จังหวัด ส่งสำนวนไปยัง กกต.ส่วนกลาง

ชั้นที่ 2 ให้พนักงานสืบสวน และไต่สวนวิเคราะห์ และทำความเห็นเสนอเลขาธิการ กกต.ภายใน60 วัน

ชั้นที่ 3 คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ทำความเห็นเสนอให้ กกต.พิจารณาใน90 วัน

ชั้นที่ 4 กกต.ชุดใหญ่ พิจารณาชี้ขาดหรือสั่งการโดยเร็ว ภายใน90วัน

ปัจจุบันเรื้องนี้อยู่ใน ‘ชั้นที่3’

ประเด็น ‘ฮั้วสว’ จะเป็น ‘ปมใหญ่’ ที่จะนำมาซึ่งความวุ่นวายทางการเมืองในภายภาคหน้า เพราะลำพัง ‘วุฒิสภา’ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการเลือก ‘องค์กรอิสระ’ แล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องยังเป็นถึง กก.บห.พรรคภูมิใจไทยและเครือข่ายอีกด้วย

แต่ก่อนจะไปไกลถึงตรงที่ว่า การฮั้วสว. เกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น ‘สังคม’ ต้องจับจ้องการทำงานของกกต.ชนิด ‘ห้ามกระพริบตา’

แน่นอนว่า กกต.ต้องมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้ ‘บริสุทธิ์-เที่ยงธรรม’ ซึ่งการเลือกตั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในปี 2569 แต่ที่ผ่านมาการเลือกตั้งในปี 2566 สังคมส่วนใหญ่ล้วน ‘กังขา’ ในการทำหน้าที่ ยิ่งการได้มาซึ่ง สว.จนเกิดเป็น ‘ข้อกล่าวหา’ ฮั้วสว.ด้วยแล้วนั้น ‘สารตั้งต้น’ไม่ได้เกิดจาก กกต.แต่เกิดภาคประชาชนที่ออกมาร้องเรียน ‘เปิดโปง’ จนฝ่ายการเมือง ‘ล้วงลูก’ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ ต้องเข้าไปสอบสวน

อีกเรื่องที่สำคัญคือการทำ ‘ประชามติ’  ที่กกต.ต้องมีหน้าที่จัดการให้เกิดขึ้น จะทำครั้งที่ 1 หรือที่ครั้งที่ 2 รวมกันหรือไม่นั้น การทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นแน่ ปัญหาคือ กกต.ซึ่งขณะนี้ ‘ขาดการมีส่วนร่วม’ จากสังคมโดยสิ้นเชิงจะทำให้การ ‘หย่อนบัตรพร้อมกัน 3 ใบ’บริสุทธิ์เที่ยงธรรมได้อย่างไร

สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้คือ กกต.ซึ่งมี 7คน กำลังเกิดสภาพที่เรียกว่า ‘ผลัดใบ’  เอาเฉพาะปี 2568 นี้มี 5 ใน 7 คน ที่ต้องสรรหากันใหม่ ส่วนหนึ่งอยู่ในขั้นตอน ‘การสรรหา’ ขณะที่ ‘บางส่วน’ อยู่ระหว่างการเปิดรับสมัคร

ในกีฬาทุกประเภท โดยเฉพาะกีฬา ‘ฟุตบอล’ ความพร้อมของนักฟุตบอลนั้นสำคัญ ความพร้อมของของกองเชียร์หรือผู้ชมก็สำคัญ แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือความพร้อมของ ‘กรรมการ’ ผู้ทำหน้าที่รักษาให้การเล่นนั้นเป็นไปตาม ‘กติกา’ อย่างเคร่งครัด

กกต.ถือเป็น 1ในองค์กรอิสระที่ต้องจับตาว่า การทำงานจากนี้ต่อไป จะซ้ายจะขาว จะหมู่หรือจะจ่า อดีตก็มีเห็นแล้วว่า กกต.หากเอียงซ้ายไปขวา ก็มีสิทธิติด ‘คุก’ได้เหมือนกัน หวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย

<<<<<<>>>>>>> 

‘คมนาคม’ในเงื้อมมือ‘พิพัฒน์-มัลลิกา’

จับตาแก้สัญญา‘รถไฟฟ้า3สนามบิน’

ในที่สุดกระทรวงคมนาคม หรือที่วงการสื่อมวลชนเรียกว่า กระทรวงหูกวาง หรือเจ้าของรหัส ‘ราชรถ’ นั้นก็กลับมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้ในสมัย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ กำกับดูแลนั้น ‘ทำเอา’ พรรคภูมิใจไทย ‘เกือบตาย’ ไปเหมือนกัน

คราวนี้ได้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ ซึ่งขึ้นชั้นนั่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคมเป็น ‘หัวเรือใหญ่’ โดยมี ‘เจ๊เปิ้ล’ หรือ มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช สส.ลพบุรี หลายสมัย นั่งรมช.คมนาคม มีหลายเรื่องให้ต้องจับในระยะเวลา 120 วันหรือ 4 เดือนนับตั้งแต่เสร็จสิ้นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาระหว่างวันที่ 29-30 กันยายนที่จะถึงนี้

เรื่องแรกชัดเจนแล้วว่า 20 บาท รถไฟฟ้าสายสีแดง-สีม่วง นั้นจะกลับไปใช้ในอัตราปกติ นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้

ขณะที่เรื่องต่อมา โครงการบ้านเพื่อไทยที่เปิดตัวแบบ ‘อลังการ’ในสมัยรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ก็ดูทำท่าจะกลาย ‘เป็นหมัน’ เพราะจนป่านนี้ การจับสลากหาผู้มีสิทธิ จากผู้ที่ลงทะเบียนหลายแสนคน ซึ่งจะมีกองสลากทำหน้าที่จัดการนั้น ‘จนป่านนี้’ ก็ไร้ความคืบหน้า

หันมาดูโครงการขนาดใหญ่ อย่างโครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ ที่คุยฟุ้งกันครั้งรัฐบาลเศรษฐามาจนรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ นั้นทำท่าจะ ‘พับแผน’  ไว้ก่อนเพื่อรอรัฐบาล 4 ปีมาตัดสินใจว่า จะไปต่อหรือไม่และจะไปต่อกับแบบไหน

แต่ที่จะต้องน่าจับตาเป็นพิเศษคือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการ ‘แก้ไขสัญญา’ ทั้งนี้ อภิมหาโปรเจ็กต์หลายแสนล้านบาทนี้ ริเริ่มสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คาบเกี่ยวกับสถานการณ์ ‘โควิด’จนนำมาซึ่งการแก้ไขสัญญา เอาเฉพาะขั้นตอนแก้ไขสัญญา ที่ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้แม้สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะใช้กำลังภายในสารพัดก็ตาม ก็ไร้ความคืบหน้าให้เห็น

รถไฟฟ้า 3 สนามบินกำลังกลับมาเจรจากันใหม่อีกครั้ง แต่จะทันรัฐบาลหมดอายุหรือไม่ ต้องรอดู
รถไฟฟ้า 3 สนามบินกำลังกลับมาเจรจากันใหม่อีกครั้ง แต่จะทันรัฐบาลหมดอายุหรือไม่ ต้องรอดู

รองนายกฯและรมว.คมนาคม ระบุว่าจะเชิญเอกชน ผู้รับสัมปทาน (บริษัท เอเชีย เอ รา วัน จำกัด) มาหารือรายละเอียดประเด็นข้อติดขัด การส่งมอบพื้นที่ล่าช้าเพื่อหาทางออกแน่นอน ส่วนจะทัน ‘4 เดือน’ หรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้

รถไฟฟ้า 3 สนามบินเป็นโครงการใหญ่ชนิด ‘บิ๊กเบิ้ม’  เกี่ยวเนื่องกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ  EEC และเกี่ยวเนื่องกับโครงการสนามบินอู่ตะเภา ถือเป็น ‘งานช้าง’ ที่รอวันสะสางหาความชัดเจน

ส่วนที่ถามกันมาว่า ถนนพระราม 2 จะเสร็จกี่โมงนั้น เรื่องเล็กนิดเดียว เทียบกับโครงการ ‘รถไฟฟ้า 3 สนามบิน’ไม่ได้เลยซักนิด

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์