เรื่องมันมีอยู่ว่า ถึงเวลา กกต.ผลัดใบ ต้องมีการเลือกคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่คนเก่าที่ต้องออกตามวาระ จะคนเก่าหรือคนใหม่ งานช้างรออยู่ หนัก ๆ ทั้งนั้น <> กระทรวงคมนาคมก็กลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทยอีกครั้ง กระทรวงนี้ถือเป็นกล่องดวงใจของบุรีรัมย์ คอนเนคชัน งานใหญ่ก็รออยู่เช่นกัน <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
จับตากกต. ยุค‘ผลัดใบ’
คดีฮั้วส.ว.-ประชามติ-เลือกตั้ง‘รออยู่’
ในการพิจารณาคดี ‘ฮั้วสว.’ ที่ประกอบด้วย สว. ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน 138 คนและเป็น กก.บห.พรรคภูมิใจไทยและเครือข่าย 91 คนนั้น
‘หัวใจ’ สำคัญ อยู่ในกระบวนการของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.ที่ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ออกมาอธิบายกับสังคมว่ามี 4 ชั้นด้วยกัน กล่าวคือ
ชั้นที่ 1 กกต.จังหวัด ส่งสำนวนไปยัง กกต.ส่วนกลาง
ชั้นที่ 2 ให้พนักงานสืบสวน และไต่สวนวิเคราะห์ และทำความเห็นเสนอเลขาธิการ กกต.ภายใน60 วัน
ชั้นที่ 3 คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ทำความเห็นเสนอให้ กกต.พิจารณาใน90 วัน
ชั้นที่ 4 กกต.ชุดใหญ่ พิจารณาชี้ขาดหรือสั่งการโดยเร็ว ภายใน90วัน
ปัจจุบันเรื้องนี้อยู่ใน ‘ชั้นที่3’
ประเด็น ‘ฮั้วสว’ จะเป็น ‘ปมใหญ่’ ที่จะนำมาซึ่งความวุ่นวายทางการเมืองในภายภาคหน้า เพราะลำพัง ‘วุฒิสภา’ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการเลือก ‘องค์กรอิสระ’ แล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องยังเป็นถึง กก.บห.พรรคภูมิใจไทยและเครือข่ายอีกด้วย
แต่ก่อนจะไปไกลถึงตรงที่ว่า การฮั้วสว. เกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น ‘สังคม’ ต้องจับจ้องการทำงานของกกต.ชนิด ‘ห้ามกระพริบตา’
แน่นอนว่า กกต.ต้องมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้ ‘บริสุทธิ์-เที่ยงธรรม’ ซึ่งการเลือกตั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในปี 2569 แต่ที่ผ่านมาการเลือกตั้งในปี 2566 สังคมส่วนใหญ่ล้วน ‘กังขา’ ในการทำหน้าที่ ยิ่งการได้มาซึ่ง สว.จนเกิดเป็น ‘ข้อกล่าวหา’ ฮั้วสว.ด้วยแล้วนั้น ‘สารตั้งต้น’ไม่ได้เกิดจาก กกต.แต่เกิดภาคประชาชนที่ออกมาร้องเรียน ‘เปิดโปง’ จนฝ่ายการเมือง ‘ล้วงลูก’ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ ต้องเข้าไปสอบสวน
อีกเรื่องที่สำคัญคือการทำ ‘ประชามติ’ ที่กกต.ต้องมีหน้าที่จัดการให้เกิดขึ้น จะทำครั้งที่ 1 หรือที่ครั้งที่ 2 รวมกันหรือไม่นั้น การทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นแน่ ปัญหาคือ กกต.ซึ่งขณะนี้ ‘ขาดการมีส่วนร่วม’ จากสังคมโดยสิ้นเชิงจะทำให้การ ‘หย่อนบัตรพร้อมกัน 3 ใบ’บริสุทธิ์เที่ยงธรรมได้อย่างไร
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้คือ กกต.ซึ่งมี 7คน กำลังเกิดสภาพที่เรียกว่า ‘ผลัดใบ’ เอาเฉพาะปี 2568 นี้มี 5 ใน 7 คน ที่ต้องสรรหากันใหม่ ส่วนหนึ่งอยู่ในขั้นตอน ‘การสรรหา’ ขณะที่ ‘บางส่วน’ อยู่ระหว่างการเปิดรับสมัคร
ในกีฬาทุกประเภท โดยเฉพาะกีฬา ‘ฟุตบอล’ ความพร้อมของนักฟุตบอลนั้นสำคัญ ความพร้อมของของกองเชียร์หรือผู้ชมก็สำคัญ แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือความพร้อมของ ‘กรรมการ’ ผู้ทำหน้าที่รักษาให้การเล่นนั้นเป็นไปตาม ‘กติกา’ อย่างเคร่งครัด
กกต.ถือเป็น 1ในองค์กรอิสระที่ต้องจับตาว่า การทำงานจากนี้ต่อไป จะซ้ายจะขาว จะหมู่หรือจะจ่า อดีตก็มีเห็นแล้วว่า กกต.หากเอียงซ้ายไปขวา ก็มีสิทธิติด ‘คุก’ได้เหมือนกัน หวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย
<<<<<<>>>>>>>
‘คมนาคม’ในเงื้อมมือ‘พิพัฒน์-มัลลิกา’
จับตาแก้สัญญา‘รถไฟฟ้า3สนามบิน’
ในที่สุดกระทรวงคมนาคม หรือที่วงการสื่อมวลชนเรียกว่า กระทรวงหูกวาง หรือเจ้าของรหัส ‘ราชรถ’ นั้นก็กลับมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้ในสมัย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ กำกับดูแลนั้น ‘ทำเอา’ พรรคภูมิใจไทย ‘เกือบตาย’ ไปเหมือนกัน
คราวนี้ได้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ ซึ่งขึ้นชั้นนั่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคมเป็น ‘หัวเรือใหญ่’ โดยมี ‘เจ๊เปิ้ล’ หรือ มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช สส.ลพบุรี หลายสมัย นั่งรมช.คมนาคม มีหลายเรื่องให้ต้องจับในระยะเวลา 120 วันหรือ 4 เดือนนับตั้งแต่เสร็จสิ้นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาระหว่างวันที่ 29-30 กันยายนที่จะถึงนี้
เรื่องแรกชัดเจนแล้วว่า 20 บาท รถไฟฟ้าสายสีแดง-สีม่วง นั้นจะกลับไปใช้ในอัตราปกติ นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้
ขณะที่เรื่องต่อมา โครงการบ้านเพื่อไทยที่เปิดตัวแบบ ‘อลังการ’ในสมัยรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ก็ดูทำท่าจะกลาย ‘เป็นหมัน’ เพราะจนป่านนี้ การจับสลากหาผู้มีสิทธิ จากผู้ที่ลงทะเบียนหลายแสนคน ซึ่งจะมีกองสลากทำหน้าที่จัดการนั้น ‘จนป่านนี้’ ก็ไร้ความคืบหน้า
หันมาดูโครงการขนาดใหญ่ อย่างโครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ ที่คุยฟุ้งกันครั้งรัฐบาลเศรษฐามาจนรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ นั้นทำท่าจะ ‘พับแผน’ ไว้ก่อนเพื่อรอรัฐบาล 4 ปีมาตัดสินใจว่า จะไปต่อหรือไม่และจะไปต่อกับแบบไหน
แต่ที่จะต้องน่าจับตาเป็นพิเศษคือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการ ‘แก้ไขสัญญา’ ทั้งนี้ อภิมหาโปรเจ็กต์หลายแสนล้านบาทนี้ ริเริ่มสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คาบเกี่ยวกับสถานการณ์ ‘โควิด’จนนำมาซึ่งการแก้ไขสัญญา เอาเฉพาะขั้นตอนแก้ไขสัญญา ที่ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้แม้สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะใช้กำลังภายในสารพัดก็ตาม ก็ไร้ความคืบหน้าให้เห็น

รองนายกฯและรมว.คมนาคม ระบุว่าจะเชิญเอกชน ผู้รับสัมปทาน (บริษัท เอเชีย เอ รา วัน จำกัด) มาหารือรายละเอียดประเด็นข้อติดขัด การส่งมอบพื้นที่ล่าช้าเพื่อหาทางออกแน่นอน ส่วนจะทัน ‘4 เดือน’ หรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้
รถไฟฟ้า 3 สนามบินเป็นโครงการใหญ่ชนิด ‘บิ๊กเบิ้ม’ เกี่ยวเนื่องกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC และเกี่ยวเนื่องกับโครงการสนามบินอู่ตะเภา ถือเป็น ‘งานช้าง’ ที่รอวันสะสางหาความชัดเจน
ส่วนที่ถามกันมาว่า ถนนพระราม 2 จะเสร็จกี่โมงนั้น เรื่องเล็กนิดเดียว เทียบกับโครงการ ‘รถไฟฟ้า 3 สนามบิน’ไม่ได้เลยซักนิด