เรื่องมันมีอยู่ว่า บุรีรัมย์‘ฮับการเมือง’ยุคใหม่ ‘หนู-เน’ศูนย์รวม‘บ้านใหญ่’ , จนมาก-จนน้อย-เกือบจะจน ‘พุ่ง’ นี่นะหรือเมืองไทยยุค‘อยู่ดีกินดี’

17 ก.ย. 2568 - 23:46

  • ถนนทุกสายกำลังวิ่งสู่บุรีรัมย์ เป็นการยึดครองทางการเมืองที่ครบถ้วนที่สุด

  • ฮับการเมืองบุรีรัมย์ ครบถ้วนทั้ง สส.,สว.,รัฐมนตรี และข้าราชการ

  • เปรียบเทียบโมเดล Nepo Kids ในต่างประเทศ แล้วของไทยอยู่ตรงไหน

เรื่องมันมีอยู่ว่า บุรีรัมย์‘ฮับการเมือง’ยุคใหม่ ‘หนู-เน’ศูนย์รวม‘บ้านใหญ่’ , จนมาก-จนน้อย-เกือบจะจน ‘พุ่ง’ นี่นะหรือเมืองไทยยุค‘อยู่ดีกินดี’

เรื่องมันมีอยู่ว่า  บุรีรัมย์ยุค เนวิน-อนุทิน กลายเป็นฮับการเมืองยุคใหม่ที่ครบถ้วนที่สุด ทั้ง สส.,สว.,รัฐมนตรี,ข้าราชการ ถนนทุกสายมุ่งไปที่จุดเดียว<>ปรากฎการณ์ Nepo Kids ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทำให้หลาย ๆ ประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง  แล้วของไทยอยู่ระดับไหนแล้ว <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า

บุรีรัมย์‘ฮับการเมือง’ยุคใหม่

‘หนู-เน’ศูนย์รวม‘บ้านใหญ่’

ชั่วโมงนี้ หากไม่พูดถึง ‘บุรีรัมย์’ คงไม่ได้ ด้วยเพราะบุรีรัมย์ได้สร้างปรากฎการณ์การเมืองยุคใหม่ที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น ‘ฮับ’ ทางการเมืองไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะมี ‘ครบ’ หมดทั้งคณะรัฐมนตรี สภาสูงหรือวุฒิสภา และสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร

เอาสภาสูงที่กำลังถูกข้อกล่าวหา ‘ฮั้วสว.’ ก่อนก็แล้ว เพราะแค่ ‘บุรีรัมย์’ จังหวัดที่มี สว .มากที่สุดถึง 14 คน ไล่ไปตั้งแต่

1.มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา อดีตอธิบดีกรมการปกครอง และอดีต ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์

2.อภิชาติ งามกมล อดีตรองผู้ว่าฯอำนาจเจริญ (พี่ชายไตรเทพ งามกมล สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย)

3. พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์

4. ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล อดีตรองปลัดสาธารณสุขและที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข (สมัยอนุทิน)

5. ฤชุ แก้วลาย สัตวแพทย์ที่คลินิกสัตว์ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์

6. ปวีณา สาระรัมย์ อาชีพเกษตรกรรม(ทำนา)

7. จตุพร เรียงเงิน

8. วรรษมนต์ คุณแสน

9. พรเพิ่ม ทองศรี หัวหน้าคณะทำงานรมช.มหาดไทย

10. ปราณีต เกรัมย์ นักกีฬาฟุตบอลอาวุโส ซึ่งบางข้อมูลระบุว่า เป็นอดีตคนขับรถ ชัย ชิดชอบ

11.ประไม หอมเทียน เป็นกรรมการหมู่บ้าน กรรมการกองทุนต่างๆ ในชุมชนและหมู่บ้าน ต.สำโรงใหม่และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)

12. ชาญชัย ไชยพิศ ข้าราชการบำนาญ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลบุรีรัมย์

13. ศุภชัย กิตติภูติกุล ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ประจำจ.บุรีรัมย์

14. วลีรักษ์ พัชระเมธาพัฒน์ อาสาสมัครสาธารณสุขดีเด่นระดับจังหวัด

ขณะที่ สส.เอาแค่ 10 เขตในบุรีรัมย์ ไม่นับจังหวัดบริวารและจังหวัดเครือข่าย ก็ ‘กวาดเรียบ’ ทั้งหมด ชนิด ‘คู่แข่งรวมกันยังสู้ไม่ได้’

ล่าสุด ครม.อนุทิน ‘คนบุรีรัมย์’ ก็ตบเท้านั่งเก้าอี้กับพรึ่บพรับ โสภณ ซารัมย์ รองนายกฯ, ไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี, ทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย, พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม

แม้แต่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ยังมี ‘ทะเบียนบ้าน’ อยู่ที่บุรีรัมย์ ทั้งหมดจึงน่าจะเป็นคำตอบได้เป็นอย่างยิ่งว่า ‘บุรีรัมย์’ ชั่วโมงนี้ ‘บิ๊กเบิ้ม’ขนาดไหน

ต้องมี ‘อะไรดีซักอย่าง’ ถึงทำให้ ‘ถนนการเมือง’ทุกสาย ทั้งบ้านใหญ่บ้านเล็ก ต่างมุ่งไปที่นั่น ต้องบันทึกกันเลยทีเดียวว่า ประวัติศาสตร์การเมืองไทยหน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว จากผู้ที่เรียกตัวเองว่า ‘ครู’ และนิยมการ ‘ขับขี่มอเตอร์ไซค์’ เป็นชีวิตจิตใจ จบข่าว 555

<<<<<<>>>>>> 

จนมาก-จนน้อย-เกือบจะจน ‘พุ่ง’

นี่นะหรือเมืองไทยยุค‘อยู่ดีกินดี’

ลุกลามและทำท่าจะต่อเนื่องไปอีกหลายประเทศ รุนแรงน้อยรุนแรงมากแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่อินโดนีเซีย เนปาล และฝรั่งเศส ที่เกิดการประท้วงใหญ่ชนิดมีเจ็บมีตายมีเผา ล้วนมี ‘รากเหง้า’ ของปัญหาที่แทบไม่ต่างกันนั่นคือ คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็น ‘คนหนุ่มสาว’หรือคน GEN Z ล้วนไม่ทนกับสภาพสังคมที่นับวันจะมี ‘ช่องว่าง’ ของ ‘ความเหลื่อมล้ำ-ความยากจน และอภิสิทธิ์ชน’ เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ

ที่อินโดนีเซีย เกิดจาก ‘ชนชั้นนักการเมือง’ ที่ใช้อำนาจหาประโยชน์เข้าตัว ที่เนปาลก็เกิดสภาพ

Nepo Kids ที่ลูกหลานนักการเมืองและชนชั้นนำที่ได้รับ ‘อภิสิทธิ์’  ที่ฝรั่งเศส เข้าไม่ถึงโอกาสด้วยเพราะ ‘กติกา’ สังคมเอื้อให้ คนรวยซึ่งเป็นคนส่วนน้อย มากกว่าเอื้อให้คนส่วนใหญ่ที่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อลืมตาอ้าปาก

ล่าสุด 17 กันยายนที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือ  สศช. เปิดเผย รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 เนื้อหาสำคัญระบุว่า การพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่าง ‘เชิงโครงสร้าง’ ระหว่าง ‘ภูมิภาค’ ส่งผลให้เกิดปัญหา ‘ความเหลื่อมล้ำ’

ในมิติเศรษฐกิจรายงานสศช. พบว่า

ความเจริญยังคง ‘กระจุกตัว’ ในกทม.และภาคกลาง ขณะที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน ภาคเหนือ และภาคใต้ แต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ยังคงมีโครงสร้างแบบพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก

ซึ่งการ‘พึ่งพา’เกษตรกรรมในระดับสูงเช่นนี้ได้ส่งผลให้ครัวเรือนมีความเปราะบาง เสี่ยงต่อความยากจนมากกว่าภูมิภาคอื่น สศช.สรุปว่านโยบายการพัฒนาประเทศในลักษณะเหมารวม (One-Size-Fits-All) จึงไม่อาจตอบสนองแต่ละภูมิภาคได้ สมควรต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่

ที่น่าสนใจกว่านั้น คือการเปิดข้อมูล 'คนจน' ยุครัฐบาลเพื่อไทย ปี 2567 ที่พุ่งแตะ 3.43 ล้านคน คิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ หลังเจอพิษเศรษฐกิจ-ภัยธรรมชาติ ห่วงกลุ่มคนจนมาก พุ่ง 8.79 แสนคน โดยพบว่า จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41 หรือเพิ่มขึ้น 1.04 ล้านคน จากปี 2566 ที่มีจำนวน 2.39 ล้านคน

แม้ ‘เส้นความยากจน’ปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน สาเหตุหลักมาจาก การเข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ เช่น ภัยธรรมชาติ หรือความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ดังนั้นภาครัฐควรทบทวน ปรับปรุง และยกระดับการคุ้มครองทางสังคมและ การช่วยเหลือให้มีความครอบคลุม เข้าถึงได้จริง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อ‘บรรเทา’ ความยากจน

รายงาน สศช.จำแนกคนจนออกเป็น ‘กลุ่มคนจนมาก’ หรือกลุ่มที่เผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรง เพิ่มขึ้น ‘กลุ่มคนจนน้อย’ ก็เพิ่มขึ้น และ ‘กลุ่มคนเกือบจน’ หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ใน ภาวะยากจน ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

หากปล่อยให้ ‘ช่องว่างความยากจน’ เพิ่ม ระดับความรุนแรงของความยากจนจะเพิ่มสูงขึ้นตาม

รายงานสศช.ระบุว่า จังหวัดส่วนใหญ่มีสัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้น มี 15 จังหวัด ที่มีสัดส่วนคนจนลดลงจากปี 2566 ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์, สุพรรณบุรี, ตราด, พังงา, สุราษฎร์ธานี, กำแพงเพชร, นครราชสีมา, เพชรบุรี, จันทบุรี, เพชรบูรณ์, อุดรธานี, กาญจนบุรี, อุตรดิตถ์, พิจิตร และยโสธร

ถึงเวลานี้ ความตระหนักถึงช่องว่าง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ เหมือนจะมาทีหลัง

ขณะนี้ความเป็นประชาธิปไตยมาก่อน รายงานก็บอก ตัวอย่างนานาชาติก็มีให้เห็น ถ้าไม่รีบแก้ ไม่ลดช่องว่าง ระวังจะไปถึง ‘จุดวิกฤต’ ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์