รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม กมธ.ว่า ในช่วงเช้าเป็นการตามต่อที่มีการกำหนดนัดล่วงหน้าเอาไว้เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว “เราตามเรื่องของสแกมเมอร์ เราให้ความสำคัญกับกรณีที่มีการฟอกเงินผ่านบริษัทแห่งหนึ่งที่เชื่อมโยงกับอาจจะเรียกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา คือ ฮุน โต หรือกลุ่มบริษัทฮวยวัน (Huione Group)”
รังสิมันต์ เผยด้วยว่า “ก่อนที่จะมีการพิจารณาวาระนี้ เราได้มีการหารือในเรื่องที่สำคัญก็คือเรื่องน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งไม่ได้มีแค่ในพื้นที่ภาคใต้อย่างเดียว หลายๆ พื้นที่ก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องน้ำท่วมมาก่อนหน้านั้นเหมือนกัน จึงเป็นที่มาว่าทาง กมธ.จะมีมติในการส่งข้อเสนอในการบริหารจัดการกรณีอุทกภัยที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ให้กับนายกรัฐมนตรี
โดยมีเรื่องที่น่าจะเป็นประโยชน์คือจากการที่เราติดตามเรื่องสแกมเมอร์มาเป็นระยะเวลานาน เราพบว่าเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทรงพลังมากในเรื่องของสแกมเมอร์คือ ‘สตาร์ลิงค์’ (Starlink) หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตดาวเทียมวงโคจรต่ำ ซึ่งเป็นอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนบนโลกคุณสามารถใช้อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำได้ ซึ่งบริษัทที่ทำเรื่องนี้คือ ‘สเปซเอ็กซ์’ (SpaceX) ที่เจ้าของคือ อีลอน มัสก์ (Elon Musk)”
“ก่อนหน้านี้ทางสเปซเอ็กซ์ เคยมีความพยายามเจรจากับประเทศไทยเพื่อเข้ามาดำเนินการในประเทศไทย แต่เข้าใจว่ายังติดเงื่อนไขเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมาย เลยยังไม่สามารถทำได้ แต่ตนคิดว่าถ้ารัฐบาลอาศัยอำนาจพิเศษในเวลานี้ที่มีอยู่ เพื่อนำไปสู่การพูดคุยกับทางสเปซเอ็กซ์ซึ่งเป็นเจ้าของสตาร์ลิงค์ ตนคิดว่าเราสามารถที่จะใช้สตาร์ลิงค์มาใช้ในเรื่องของการแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ แน่นอนว่าอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดในการช่วยแก้ปัญหา แต่ในพื้นที่ที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตถูกตัดขาด พี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ตนคิดว่าการเอาเครื่องมือนี้มาใช้จะเป็นประโยชน์มาก”
“เรามีข้อเสนอ 4 ข้อ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ การเอาสตาร์ลิงค์มาใช้เป็นการกระจายสัญญาณโดยเฉพาะกับศูนย์กู้ภัยหน่วยย่อยในพื้นที่ประสบภัย นอกจากยังมีเรื่องของการทำงานแบบซิงเกิลคอมมานด์ไม่ใช่สะเปะสะปะอย่างที่เป็นมา รวมไปถึงจะต้องมีการระดมอุปกรณ์และพาหนะจำเป็นต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด
ซึ่งล่าสุดมีข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นล้านคน แต่ที่ช่วยได้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น นอกจากนั้น การสื่อสารรวมถึงสิ่งของจำเป็นก็เป็นเรื่องที่เราเห็นว่ามีความสำคัญ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นมติแม้เราจะไม่ได้กำหนดวาระไว้ล่วงหน้า แต่เราเห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่อชาติบ้านเมือง จึงมีมติส่งเรื่องให้นายกฯ เป็นหนังสือด่วนที่สุด”
เรามีบทเรียนว่า พวกคอลเซ็นเตอร์มันใช้ “สตาร์ลิงค์” เก่งมาก และคุณภาพ “สตาร์ลิงค์” มันดี ถ้าเราเอามาใช้ในเรื่องดี ก็จะสามารถมีส่วนในการช่วยบรรเทาสาธารณภัยที่เรากำลังเจออยู่ในเวลานี้ได้
รังสิมันต์ ยังกล่าวถึงประเด็นเรื่อง ‘สแกมเมอร์’ ว่า “เห็นสัญญาณที่ดีมากขึ้น ซึ่งผมยังไม่สามารถลงรายละเอียดได้ เพราะมีความละเอียดอ่อน แต่ตอนนี้คิดว่าฝ่ายผู้ปฏิบัติน่าจะเริ่มจับหลักได้แล้วว่าควรจะไปอย่างไร
เราเองได้มีการสอบถามในเรื่องของบริษัทที่ไปทำเอ็มโอยูกับทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ด้วย แต่ทางหน่วยงานไม่ได้เตรียมตัวมา ในกรณีที่มีข่าวว่ามีการนำแก๊งสแกมเมอร์กว่า 500 คนเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งพูดง่ายๆ เอ็มโอยูมันก็เป็นเหมือนหลังพิงให้มีการออกวีซ่าต่างๆ ให้ เราก็จะมีการตามต่อไป โดยมีการบรรจุวาระอีกครั้งในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ ซึ่งเราก็คงจะผ่านช่วงน้ำท่วมไปแล้ว และน่าจะทำให้สังคมกลับมาโฟกัสในเรื่องสแกมเมอร์ควบคู่กับการแก้ปัญหาในเรื่องการเยียวยาต่างๆ ให้ประชาชน”
คิดว่าเราใกล้มากขึ้นในเรื่องที่จะทลายโดยเฉพาะรัง ตัวเป้ง ๆ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินได้มากขึ้นแล้ว
รังสิมันต์ ยังชี้ว่า “ภาพรวมทิศทางอาจจะยังไม่น่าพอใจ แต่เราก็เริ่มเห็นความก้าวหน้าบางอย่าง และคาดหวังว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.), ตำรวจไซเบอร์ (กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี), ตำรวจสอบสวนกลาง รวมไปถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะทำงานร่วมกัน และหวังว่าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะมีความชัดเจนที่เป็นรูปธรรมขึ้น”
เมื่อถามว่า หากได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่มาร่วมชี้แจง จะสาวไปถึงตัวใหญ่ของสแกมเมอร์ได้หรือไม่? รังสิมันต์ กล่าวว่า “ตอนนี้มันมีเคสไอดี แต่ผมขอไม่ลงรายละเอียด เรามีผู้เสียหาย เรามีเส้นทางการเงิน โดยมีเคสที่เกี่ยวข้องมากกว่า 100 เคส สิ่งที่จะต้องต่อยอดก็คือเราจะมี 2 ทาง คือเราอาจจะเจาะไปที่ฮวยวัน เป็นการเฉพาะ กับสองเราขยายผลจากเคสไอดีที่มี ซึ่งข้อเสนอของ กมธ.คือให้ไปด้วยกันทั้งคู่ เราคิดว่าหน่วยงานเข้าใจเรื่องของการทำงานแล้วหลังจากที่คุยกันมาหลายนัด การปรับจูนต่างๆ มีทิศทางที่ดีขึ้น เพียงแต่การลงมือปฏิบัติมันยังเป็นสิ่งที่เราคิดว่ายังขาดอยู่”
รังสิมันต์ กล่าวอีกว่า “มีโมเดลที่เราทำสำเร็จคือกรณี “เวิลด์คอยน์” (Worldcoin) ซึ่งก่อนหน้านี้มีประเด็นว่ามีผู้ไปสแกนม่านตาแล้วเขาไม่ได้ให้ความยินยอม คือพูดง่ายๆ ไม่ได้เข้าใจว่าข้อมูลที่เขาสแกนไปเอาไปทำอะไร ล่าสุดการที่มีแอ็กชันออกมาว่า ให้มีการสั่งลบข้อมูลดังกล่าว เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าดี เพียงแต่สิ่งที่จะต้องทำคือมันมีผู้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และเชื่อมกับฮวยวัน (Huione Group) ด้วย”
ผมคิดว่าคงจะต้องเอาทุกอย่างมาสอดประสานให้มันลิงค์กันต่อไป และนำไปสู่การแก้ปัญหาทั้งระบบเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมให้สิ้นซาก


