พรรคประชาชนจัดงานเปิดนโยบายในหัวข้อ ‘ความมั่นคงใหม่ เศรษฐกิจใหม่ บริหารประเทศแบบใหม่ ไทย.ทัน.โลก’ โดยในหัวข้อความมั่นคงและการต่างประเทศ มีผู้ร่วมเสนอนโยบาย ได้แก่ รังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรคประชาชน และแขกรับเชิญที่มาร่วมแลกเปลี่ยน
รังสิมันต์ ฉายภาพภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ ไร้ตัวตน อยู่นอกประเทศ โดยย้ำว่า เรากำลังเผชิญกับองค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศที่กลไกในประเทศของเราทำร้ายคนไทยด้วยกัน ผ่านการชักใยสร้างเครือข่ายกับผู้มีอำนานาจในไทย วิธีการต่อสู้กับภัยคุกคามใหม่นี้ ไม่ใช่การใช้กำลังอาวุธแสนยานุภาพกองทัพ แต่ต้องใช้เทคโนโลยี การทูต และการจัดการเครือข่ายอิทธิพลในการเมืองและระบบราชการไทยที่ปกป้องให้ความคุ้มครององค์กรอาชญากรรมเหล่านี้
“เรากำลังเผชิญกับสงครามลูกผสม หรือ hybrid warfare อาชญากรรมไซเบอร์กลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจที่สร้างความปั่นป่วนเสียหายทั้งต่อทรัพย์สิน ความมั่นคงปลอดภัยต่อชีวิตประชาชน และชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศ มีคดีสแกมเมอร์ในไทยกว่าล้านคดี แต่ละคดีมีต้นทุนในการทำประมาณ 10,000 บาท เราเสียทั้งงบประมาณ กำลังคน ในขณะที่คนไทยก็ไม่ได้เงินคืน กลายเป็นความเสียหายมหาศาล เพียง 12 เดือนที่ผ่านมา เสียหายไปแล้ว 115,000 ล้านบาท ถือว่าเราเป็นประเทศที่ได้รับความเสียหายติดทอป 3 ของโลก”
— รังสิมันต์ กล่าว
รังสิมันต์ ยังเตือนว่า การปราบสแกมเมอร์เป็นอาวุธหลักเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของไทย เพราะเป็นการจัดการต้นตอระบอบฮุน เซน ที่เกี่ยวโยงกับผู้มีอำนาจไทย ปราบทั้งอาชญากร ปราบปัญหาไทยกัมพูชา ปราบกลุ่มทุนเทาและข้าราชการเทา นักการเมืองเทาในประเทศไทยไปพร้อม ๆ กัน เพราะฉะนั้นอย่าหลงเหลี่ยมฮุน เซน ให้ทหารไทยต้องไปพลีชีพ พลีขา ในปัญหาชายแดนที่ฮุน เซน ตั้งใจก่อกวนเพื่อเบี่ยงประเด็นจากภารกิจปราบสแกมเมอร์ที่ทั่วโลกกำลังรุมถล่มกัมพูชาร่วมกัน
“เราต้องเปลี่ยนความเจ็บปวดเป็นโอกาส สร้างบทบาทในเวทีโลก โดยใช้ประเด็นสแกมเมอร์เป็นอาวุธหลัก เร่งสร้างบทบาทนำในเวทีโลกในฐานะชาติผู้นำการปราบปรามสแกมเมอร์ มีทิศทางและยุทธศาสตร์ชัดเจน จากเดิมที่เราเป็นเหยื่อ เราก็จะลุกขึ้นมาเอาชนะได้ และสร้างบทบาทที่มีศักดิ์ศรีในเวทีโลกได้”
— รังสิมันต์ กล่าว
รังสิมันต์ เสนอ 3 ยุทธศาสตร์พลิกสแกมเมอร์เป็นโอกาส ดังนี้
· ชั้นที่ 1 (ระดับในประเทศ): ทำให้ประเทศไทย ‘ยากจะถูกยึด’ ด้วยทุนสีเทา – สร้างภูมิคุ้มกันภายใน ไม่ให้ขบวนการเหล่านี้เข้ามาครอบงำได้ง่าย โดย จัดตั้ง War Room หรือศูนย์ปฏิบัติการแห่งชาติ เพื่อต่อต้านแก๊งสแกมเมอร์และการฟอกเงินโดยเฉพาะ, ตีเส้นแดงด้านการเงิน – ปิดประตูฟอกเงินทุกช่องทาง ยกระดับมาตรการ Know Your Customer (KYC) และ Anti-Money Laundering (AML) ในสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลทุกแห่ง บัญชีธนาคารทุกบัญชีต้องมีตัวตนที่ตรวจสอบได้ ธุรกรรมที่ดูผิดปกติต้องถูกจับตาทันที, ยึดทรัพย์ก่อน–ค่อยคุยทีหลัง สำหรับอาชญากรรมข้ามชาติ หลักการคือ “Follow the money” เงินไปไหน เราตามยึดไปที่นั่น ตั้งหน่วยเฉพาะกิจยึดทรัพย์ ทำงานเชิงรุก นำโดย ปปง. ร่วมกับตำรวจและอัยการ
· ชั้นที่ 2 (ระดับชายแดน-ภูมิภาค): เสริมสร้างภูมิรัฐศาสตร์บริเวณชายแดนและลุ่มน้ำโขงของเราให้กลายเป็น ‘ด่านหน้าของโลก‘ ในการสกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติ – เปลี่ยนชายแดนที่เคยเปราะบางให้แข็งแกร่งและเป็นแนวหน้าป้องกันภัย ตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข่าวกรองอนุภูมิภาคแม่โขง, เดินเกมการทูตทั้งบนโต๊ะและหลังฉาก: ในด้านเปิด เราจะใช้ เวทีอาเซียน และเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคที่มีอยู่ เช่นการประชุมรัฐมนตรี, ASEANAPOL (ตำรวจอาเซียน), ด้านหลังฉาก ไทยจะตั้งคณะทำงานทวิภาคี เฉพาะกิจกับแต่ละประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อขับเคลื่อนคดีหรือภารกิจที่เป็นจุดเด่น
· ชั้นที่ 3 (ระดับระหว่างประเทศ-โลก): ทำให้ โลกทั้งใบกลายเป็นพันธมิตรของไทย – ใช้พลังของความร่วมมือระหว่างประเทศ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางและเป็นผู้นำในความพยายามแก้วิกฤตินี้ในระดับโลกผลักดันกรอบความร่วมมือใหม่ในอาเซียน: ไทยจะเสนอให้ที่ประชุมอาเซียนจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม ด้านการปราบสแกมเมอร์–ฟอกเงิน–ค้ามนุษย์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน ไปจนถึงการปราบปราม และการเยียวยาเหยื่อ นอกจากนี้ควรจัดตั้งฐานข้อมูลอาชญากรข้ามชาติและบัญชีดำกลางอาเซียน เพื่อให้ตรวจสอบประวัติคนต้องสงสัยได้รวดเร็ว และไทยพร้อม เป็นเจ้าภาพตั้งศูนย์ประสานงานอาชญากรรมไซเบอร์อาเซียน (ASEAN Cybercrime Coordination Center), จับมือกับประเทศนอกภูมิภาคที่มีเทคโนโลยีสูง โดยจะทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) แลกเปลี่ยนข้อมูลและเทคโนโลยีกับประเทศมหาอำนาจด้านไซเบอร์ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และชาติยุโรปอื่นๆ ในคดีใหญ่ๆ ที่มีหลายชาติพัวพัน ทั้งนี้ จะชวนมาตั้ง Joint Investigation Team หรือคณะทำงานสอบสวนร่วมระหว่างประเทศ เพื่อแชร์เบาะแสและเดินคดีไปพร้อมกัน
ด้าน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ขึ้นกล่าวในหัวข้อ “เปิดปมสแกมเมอร์ สู่ขบวนการฟอกเงินระดับโลก รัฐบาลไทยทำอะไรอยู่?” โดยเริ่มจากการพูดถึงสแกมเมอร์ที่เริ่มต้นด้วยการหลอกเงินคุณยาย สู่ความวอดวายระดับประเทศ โดยพูดถึงกัมพูชาว่า เป็นประเทศที่มีเครือข่ายสแกมเมอร์และค่ายกักกันสแกมเมอร์อย่างน้อย 60 แห่ง มีทั้งแรงงานที่เต็มใจบ้าง ถูกหลอกมาบ้าง ทำให้เกิดปัญหาค้ามนุษย์ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการก่อการร้ายในกัมพูชา โดยมูลค่าจากการหาเงินสแกมเมอร์ราว 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐถึง 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเป็นเงินไทยราว 4-6 แสนล้านบาท โดยคิดเป็นเงินจากการสแกมเมอร์หลอกจากสหรัฐอเมริกาได้ประมาณ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ส่วนประเทศไทยสูญเสียประมาณ 115,300 ล้านบาท คือเม็ดเงินที่ถูกสูบออกจากระบบเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่ถูกสูบออกจากระบบเศรษฐกิจ กระทบทั้งกำลังซื้อของประชาชน กระทบคุณภาพชีวิตประชาชนชาวไทย
วิโรจน์ กล่าวว่า มีประชาชนแจ้งความตำรวจประมาณ 300,000 คดีต่อปี หรือ 822 คดีต่อวัน นำไปสู่ความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมในระดับต้นที่พนักงานสอบสวนทำไม่ไหว ยังมีคดีอื่นๆ อีกมาก เหยื่อจำนวนมากถูกหลอกให้รัก ให้มีความสัมพันธ์ หลอกเอาเงินไปจนในที่สุดก็ทำให้เหยื่อหลงเชื่อจนถูกรีดเงินจนหมดตัวและในที่สุดก็มีปัญหาสุขภาพจิตและนำไปสู่การคิดสั้นของเหยื่อผู้ถูกกระทำ นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีทางข้อความ 130 ล้านครั้งต่อปี มีโทรศัพท์จากสแกมเมอร์ 38 ล้านสายต่อปี รวม 168 ล้านครั้งต่อปีที่สแกมเมอร์โจมตีคนไทย ทุกคนที่มีโทรศัพท์ใน 1 ปีจะเจอสแกมเมอร์อย่างน้อย 4 ครั้ง นี่ไม่ใช่ความปกติของประเทศ แต่เป็นภัยความมั่นคงที่ยิ่งใหญ่
วิโรจน์ กล่าวว่า ความเสียหายทั้งหมดรวม 115,300 ล้านบาทต่อปี โดยค่าเฉลี่ยทั้งหมด แบ่งได้ ดังนี้
· เหยื่อ 1 ราย จะเสียหายประมาณ 114,000 บาท
· เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียหายประมาณ 78,468 บาท
· คนวัยทำงาน 26-30 ปี เสียหายประมาณ 72,908 บาท
· ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เสียหายประมาณ 416,453 บาทต่อราย (1 ใน 5 ของเหยื่อ หรือ 22% คือผู้สูงอายุ)
วิโรจน์ เผยว่า จำนวนบัญชีม้าในปัจจุบันมีมากกว่า 2 ล้านแล้ว มีเจ้าของบัญชีม้าประมาณ 2 แสนราย บางรายอาจจะมี 5-6 บัญชี ปัจจุบันบัญชีม้าเป็นม้าเลี้ยง คือมีการเจรจาต่อรองว่าแต่ละบัญชีจะได้รับเงินจากการเปิดบัญชีม้าเป็นจำนวนเท่าไร ม้าแต่ละรายจะเปิดประมาณ 10-20 บัญชีต่อคน ยอมให้โจรเอาบัญชีไปหลอกคนอื่น อยู่เฉยๆ ได้เงิน 30,000-40,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บัญชีม้าถูกตรวจสอบ ทั้งบัญชี เบอร์โทรศัพท์จะสาวไปถึงหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนได้ ถ้าเปิดบัญชีม้า 20 บัญชี โทษก็สะสม ถ้าศาลสั่งจำคุก กรรมละ 1 ปี กลายเป็นว่า ประเทศกำลังสูญเสียคนวัยแรงงานไปเปิดบัญชีม้าแบบนี้ไปอยู่ในคุก
วิโรจน์ กล่าวว่า เงินสกปรกเหล่านี้ต้องผ่านการฟอกเงิน หลายคนไม่เข้าใจว่าการฟอกเงินคืออะไร เงินจากที่มาสกปรก ใช้จ่ายไม่ได้ต้องหาธุรกิจบังหน้า หากิจกรรมบังหน้า เพื่อหาที่มาว่ามีที่มาจากอะไร ไหนจะการฟอกเงินต้องผ่านนอมินีอีก บริษัทนอมินีเหล่านี้ทำอะไรบ้าง
วิโรจน์ กล่าวว่า ประการแรก บริษัทนอมินีจะซื้อธุรกิจต่างๆ ธุรกิจฟอกเงินที่สร้างกระแสเงินสดได้ทุกวัน จำนวนมากๆ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ โรงแรม รีสอร์ตต่างๆ ธุรกิจขนส่ง ทำอย่างไรให้ได้เงินเยอะๆ ลูกค้าแน่นๆ ก็จะผสมรายได้จากลูกค้า บวกกับเงินสกปรก ต้องทำให้ดูแล้ว คนเยอะ ทำโปรโมชั่นตัดราคา ทั้งนี้ มีธุรกิจสีเทา ทำให้ธุรกิจสุจริตอยู่ลำบาก เจอตัดราคา ธุรกิจสุจริตก็มองว่า ถ้าคิดต้นทุนบัญชี ค่าเช่าต่างๆ เหล่านี้ อยู่ได้อย่างไร ธุรกิจเกิดใหม่ที่ตอบไม่ได้ว่าเถ้าแก่เป็นใคร จากไหน สุดท้ายธุรกิจสุจริตอยู่ลำบาก คนตกงานเป็นภาระกองทุนประกันสังคมอีก คนตกงานกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งก็ถูกจูงใจให้มาเป็นบัญชีม้าอีก จากลูกจ้างกลายเป็นเจ้าของบัญชีม้า อยู่เฉยๆ ได้เงินเดือนละ 3-4 หมื่นบาท แต่สุดท้ายธุรกิจสุจริตในประเทศป่นปี้
วิโรจน์ กล่าวว่า ประการที่สอง บริษัทนอมินีตั้งมูลนิธิ องค์กรการกุศลต่างๆ โดยการเปลี่ยนเงินบริจาคที่มูลนิธิไปจัดจ้างบริษัทในเครือข่าย กลายเป็นรายได้บริษัทเหล่านั้น และประการที่สาม ปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้คนที่อยากซื้อจริงๆ ต้องซื้อในราคาที่แพงขึ้น กลายเป็นบ้านและคอนโดศูนย์เหรียญ ส่วนประการที่สี่ มีการประมูลงานภาครัฐ สร้างอาณาจักรศูนย์เหรียญ เอานอมินีมาเปิดบริษัท ไม่เสียภาษี ซื้อขายกันเอง ขณะที่ประการต่อมา ทำลายธุรกิจการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวที่ดีก็ไม่มา เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังเจอปัญหาแบบนี้
นอกจากนี้ ยังมีการพนันออนไลน์ในปีหนึ่ง 20,000 กว่าล้านบาท มีการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ นี่คือวงจรคร่าวๆ ที่ไม่ได้หลอกเงินคุณยาย ไม่ได้คิดฟอกเงิน แต่คิดยึดประเทศไทยง่ายมาก
วิโรจน์ ระบุว่า ถ้าเราปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง ประเทศอาจถูกจัดให้อยู่ในบัญชีสีเทาเข้าสักวัน จะไม่มีประเทศไหนเข้ามาทำธุรกรรมในประเทศเรา เราจะถูกมองเป็นเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ในฐานะคนฟอกเงิน
สำหรับทางแก้ปัญหานั้น วิโรจน์ เสนอว่า เราต้องเร่งสร้างระบบนิเวศให้ประเทศไทยมีเกราะคุ้มกันจากสแกมเมอร์เหล่านี้ เรามี พ.ร.ก. ไซเบอร์ ฉบับที่ 2 มาตรา 8/10 บอก ให้ ธปท. กสทช. ก.ล.ต. และคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ออกมาตรการปฏิบัติ และถ้าธนาคาร เครือข่ายมือถือ ผู้ให้บริการหลักทรัพย์ต่างๆ ไม่ยอมทำตามมาตรการเหล่านี้ ต้องร่วมรับผิด ร่วมจ่ายให้ความเสียหายแก่ประชาชนด้วย
ในด้านระหว่างประเทศ เราต้องแสดงความมุ่งมั่นลงสัตยาบัต ต้องอนุวัติพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องไว้แล้ว เพื่อทลายเครือข่ายทุนเทาให้ได้ รวมทั้งร่วมกับเวทีอาเซียน ตำรวจสากลอาเซียน เราสามารถร่วมมือกับประเทศต่างๆ โดยที่ไม่ต้องลงนามอะไรเลย ใช้การร่วมมือแบบชั่วคราวเพื่อทำภารกิจเฉพาะเพื่อจัดการกับสแกมเมอร์ทุนเทาเหล่านี้ ประเทศสูญเสียจากสแกมเมอร์แสนกว่าล้านบาท ถ้าเทียบจีดีพีกับอเมริกา อเมริกามีจีดีพี 57 เท่าของไทย ของเรา 1 แสนล้านบาท เราบาดเจ็บจากสแกมเมอร์มากกว่าสหรัฐอเมริกาเสียอีก
วิโรจน์ ทิ้งท้ายว่า ปี 2569 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุม IMF, กลุ่มธนาคารโลก ในเดือนตุลาคม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายกรัฐมนตรี ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ จะถือธงนำประเทศไทยกล่าวสุนทรพจน์ที่ยิ่งใหญ่ว่าประเทศไทยของเราจะเป็นแกนนำพร้อมร่วมมือกับโลกทำลายกระบวนการสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สิ้นซาก และนี่คือภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ชื่อ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ


