‘โรม’ เมินให้ค่า ‘ฮุนเซน’ รู้อนาคต ‘นายกฯ ไทย’

26 มิ.ย. 2568 - 05:52

  • ‘กมธ.มั่นคงแห่งรัฐฯ’ เรียก ‘กต.-หน่วยงานมั่นคง’ ถกหาทางออก ‘ไทย-กัมพูชา’

  • ด้าน ‘โรม’ ถามหา ‘มาริษ’ กลางที่ประชุม อัดเป็นแบบนี้ประจำ คิดว่าตัวเองแก้ปัญหาได้ สุดท้ายไม่ประสบความสำเร็จด้าน ‘การทูต’ ฝาก ‘รบ.กัมพูชา’ อย่าทิ้งบาดแผลให้คนข้างหลัง

  • เมินให้ค่า ‘ฮุน เซน’ รู้อนาคต ‘นายกฯ ไทย’ จ่อ เอาปมคลิปเสียงคุย ‘อิ๊งค์’ หารือด้วย แนะอย่าประมาทเด็ดขาด ขณะที่ ‘อธิบดีกรมสนธิสัญญา’ แจง รมต.ติดสัมภาษณ์

‘โรม’ เมินให้ค่า ‘ฮุนเซน’ รู้อนาคต ‘นายกฯ ไทย’

รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมวันนี้ที่จะมีการพิจารณาติดตามกรณีความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ เศรษฐกิจ และเส้นเขตแดน โดยเชิญ มาริษ เสงี่ยมพงศ์ รมว.การต่างประเทศ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เข้าร่วมการประชุม

S__5824572_0.jpg

รังสิมันต์ กล่าวว่า วันนี้จะพูดคุยกัน 2 ประเด็น ประเด็นแรกเป็นเรื่องการเตรียมความพร้อม และดูว่ากัมพูชามีความก้าวหน้าในการพาไทยไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อย่างไรบ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของกฎหมายอย่างเดียว แต่มีเรื่องเกมทางการเมืองด้วย รวมถึงความพร้อมของกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนประเด็นที่ 2 วันนี้เชิญนักวิชาการมาด้วย เช่น ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงนักวิชาการคนอื่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และประวัติศาสตร์ เราก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับกระทรวงการต่างประเทศ สิ่งที่กมธ.มั่นคงฯ พยายามทำ คือต้องการบรรลุเป้าหมายแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วยวิธีการทวิภาคี หากไปขึ้นศาลโลกจริงไม่มีใครชนะแท้จริง และไม่มีใครแพ้แท้จริง ทั้ง 2 ประเทศต้องตั้งอยู่ตรงนี้ร่วมกัน เราไม่อยากให้เป็นบาดแผล ไม่อยากให้คนไทยและคนกัมพูชาขัดแย้งกัน สถานการณ์วันนี้เกิดขึ้นจากคนกี่คน เราก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้กลไกทวิภาคีเป็นไปได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า ณ จุดนี้ยังไม่ง่าย

เมื่อถามว่า สิ่งที่ยั่วยุปลุกปั่นอยู่ในขณะนี้เป็นกระบวนการที่กัมพูชาพยายามไม่ให้จบที่ทวิภาคีแล้วลากไทยไปศาลโลกใช่หรือไม่ รังสิมันต์ กล่าวว่า กัมพูชาอาจจะไม่ยากเข้าสู่กลไกทวิภาคี เขาอยากจะใช้กลไกศาลโลก แต่ความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยและกัมพูชาไปถึงจุดที่ไม่สามารถคุยกันได้ เรายังสามารถหาแนวทางในการสร้างกลไกทวิภาคีได้

“ทุกฝ่ายรวมถึงรัฐบาลกัมพูชา ต้องพึงตระหนักว่าประเทศทั้ง 2 ประเทศต้องตั้งอยู่ตรงนี้ พวกเราผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราไม่ควรที่จะทิ้งบาดแผลระหว่าง 2 ประเทศ ควรหาแนวทางอยู่ร่วมกันและแก้ปัญหา วันนี้เราจึงต้องคุยกับกระทรวงการต่างประเทศ อยากคุยกับท่านมาริษ แต่ท่านมาริษก็เป็นแบบนี้ประจำ ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับกมธ. และคิดว่าตัวเองสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ แต่ในความเป็นจริงอย่างที่เห็น กระทรวงการต่างประเทศไม่ประสบความสำเร็จในการทูตเลย”

รังสิมันต์ กล่าว

รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า หากกัมพูชาไม่อยากเจรจาทวิภาคี คำแนะนำเบื้องต้นคือเราต้องทำงานทางการทูตกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศฝรั่งเศสที่กัมพูชาพยายามทำทุกวิถีทางให้ได้เจรจากับฝรั่งเศสและทั่วโลก เราต้องทำเพื่อให้เห็นว่ากัมพูชาไม่มีความจริงใจ ในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยต้องทำงานหนักทางการทูตมากกว่านี้

ทั้งนี้ มองอย่างไรกับการที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาระบุว่าประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ภายใน 3 เดือน รังสิมันต์ กล่าวว่า เราต้องรู้เท่าทันความพยายามของสมเด็จฮุน เซน มันคือสงครามจิตวิทยา เพราะคนไทยก็จะอ่านและติดตาม คิดว่าอย่าไปสนใจเยอะ แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ประเทศไทยมีกลไกในการตรวจสอบรัฐบาลมากมาย และยืนยันว่า สิ่งที่ปรากฏในคลิปเสียงสมเด็จฮุน เซน สนทนากับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นสิ่งที่แย่มากก็เล็งว่าจะบรรจุเรื่องนี้ในกมธ.ด้วย รอกำหนดวัน พิจารณา รวมถึงคลิปเสียงที่มีการสั่งให้ฆาตกรรมนักการเมืองกัมพูชาด้วย ยืนยันว่าไม่ล่าช้าแน่นอน

“การแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย วันนี้เราต้องยืนยันว่า จะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น รัฐบาลไทยก็จะต้องไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น กลไกการตรวจสอบของเรา เมื่อมีคลิปเสียงปรากฏ ดูราวกับว่านายกรัฐมนตรีถือเอาประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม เราก็ปล่อยไว้ไม่ได้เช่นกัน กลไกการตรวจสอบภายในต้องทำงาน”

รังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่า มองเรื่องการควบคุมด่าน 1-2 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง รังสิมันต์ กล่าวว่า คิดว่ายังขาดรายละเอียดในการจัดการผลกระทบ ตัวอย่างเช่น มีบริษัทไทยและสัญชาติอื่นๆไปลงทุนในกัมพูชาเพราะค่าแรงถูกกว่า มีจำนวนแรงงานมาก ซึ่งต้องส่งวัตถุดิบต่างๆ มายังประเทศไทย ถ้าเราไม่มีการรองรับผลกระทบที่ตามมา โรงงานเหล่านี้อาจจะย้ายไปประเทศอื่น สุดท้ายจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทย จึงอยากเรียกร้องไปถึงนายกรัฐมนตรีว่า คิดให้รอบคอบ หากมีมาตรการใดก็แล้วแต่ตามชายแดน ส่วนที่จะมีการประท้วงของฝั่งกัมพูชา เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วแต่เราต้องมีมาตรการในการรับมือ

รังสิมันต์ ระบุว่า ยังสงสัยเรื่องการตัดน้ำ ตัดไฟว่ามีการตัดทุกจุดหรือไม่ คงต้องซักถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ตัด รวมถึงเรื่องอินเตอร์เน็ตและน้ำมันด้วย เราต้องสอบถามว่าเกิดอะไรและแนวทางของรัฐบาลเป็นอย่างไร สัมพันธ์กับแก๊งคอลเซนเตอร์อย่างไร

S__5824575_0.jpg

รังสิมันต์ ยังกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการ แบ่งออกเป็น 3 เรื่องคือ 1. อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์เป็นภารกิจที่ต้องทำไม่ใช่เกมต่อรองกับกัมพูชา เพราะหากประเทศของเขาไม่ต้องพึ่งพาธุรกิจเทา-ดำ การเจรจาก็จะง่ายขึ้น ดังนั้น มาริษ ต้องรีบไปพูดคุยกับสหรัฐอเมริกา ที่พร้อมให้ความร่วมมือกับไทย 2.เรื่องการทูต ที่ไทยต้องทำงานหนักกว่านี้ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจว่า กัมพูชาพยายามจุดไฟเพื่อสร้างความขัดแย้ง และ 3.การรับมือกับการขึ้นศาลโลก ต้องเตรียมทีมไทยแลนด์ด้านกฎหมายไว้รับมือกับสถานการณ์ เพราะตอนนี้กัมพูชาได้นำหน้าเราไปเป็นเวลานาน หากไทยไม่เตรียมการเรื่องนี้อาจเสียทีได้ อย่าคิดว่าเขาจะไม่สามารถเอาเราขึ้นศาลโลกได้ อย่าประมาทเด็ดขาด

S__5824574_0.jpg

จากนั้น รังสิมันต์ ได้เข้าประชุม โดยช่วงต้นได้สอบถามไปยัง เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาซึ่งเป็นตัวแทนของกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ทำไมมาริษถึงไม่มา ซึ่งเบญจมินทร์ ชี้แจงว่า มาริษ ติดสัมภาษณ์ รังสิมันต์ จึงกล่าวว่า อยากให้มาประชุมมาก ถ้าส่งข้อความไปหาได้ ก็ขอให้บอกให้มา คิดว่ามีความสำคัญที่เราต้องเตรียมความพร้อม และอยากให้มาริษพิจารณามาเข้าร่วม สักครั้งหนึ่งก็ยังดี

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์