GBC ไทย-กัมพูชา เห็นพ้อง 5 ข้อ ถอน ‘อาวุธหนัก’ ออกจากชายแดน นัดคุยแผนใน 3 สัปดาห์

10 ก.ย. 2568 - 07:16

  • GBC ไทย-กัมพูชา เห็นพ้อง 5 ข้อ ถอน ‘อาวุธหนัก’ ออกจากชายแดน นัดจัดทำแผนใน 3 สัปดาห์ โดยมี ‘ผู้สังเกตุการณ์ IOT’ ร่วมติดตาม พร้อมจัดทำแผน-กำหนดื้นที่นำร่อง ‘กู้ทุ่นระเบิด’ เริ่มเก็บกู้ได้ใน 1 เดือน

  • ตั้งคณะทำงานปราบ ‘สแกมเมอร์’ ภายใน 1 สัปดาห์ นัดคุยนัดแรก 16 ก.ย. ที่ จ.สระแก้ว จับตา ‘บ้านหนองจานโมเดล’ ให้ JBC-RBC ไปหารือแนวทาง จ่อผ่อนปรนขนส่งสินค้าข้ามแดนด่าน นำร่อง จ.จันทบุรี-ตราด

GBC ไทย-กัมพูชา เห็นพ้อง 5 ข้อ ถอน ‘อาวุธหนัก’ ออกจากชายแดน นัดคุยแผนใน 3 สัปดาห์

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม และ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นประธานร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย–กัมพูชา หรือ GBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ที่ เกาะกง ประเทศกัมพูชา

ต่อมา พล.อ.ณัฐพล ได้เดินทางกลับมายังฝั่งไทย จ.ตราด โดยได้แถลงผลการประชุม ว่า ที่ประชุมติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการผลการประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งข้อตกลงหยุดยิง รวมทั้งแนวทางการดำเนินการต่อไปเพื่อนำสันติภาพและความสงบสุขนำพื้นที่ชายแดนได้อย่างถาวร

การหารือวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าหลายด้าน ถือเป็นความสำเร็จใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างกัน และยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายจะยึดมั่นแนวทางในต่อไป

แม้ว่ามีข้อห่วงกังวลบางประการที่ทำให้ฝ่ายไทยและประชาชนไทยไม่สบายใจ และอาจเป็นอุปสรรคต่อความฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้เป็นไปอย่างดังเดิมอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน และเป็นพัฒนาการสำคัญ 5 ข้อ                                                                                                               

1)ถอนอาวุธหนัก ยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูง ออกจากชายแดน กลับสู่ที่ตั้งปกติ โดยฝ่ายเลขานุการ GBC และ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) จะหารือกันภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนดำเนินการและเริ่มเคลื่อนย้ายตามกรอบเวลาที่กำหนด โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์ IOT เข้าสังเกตการณ์

2)การเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยจะมีการตั้งคณะประสานงานร่วม ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายเลขานุการ GBC ศูนย์ทุ่นระเบิดไทย-กัมพูชา ภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนเก็บกู้ทุ่นระเบิด และกำหนดพื้นที่นำร่องตามแนวชายแดน เพื่อเริ่มดำเนินการทันทีภายใน 1 เดือน

3)การปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์หรือสแกมเมอร์ ได้มอบ กระทรวงมหาดไทย-ตำรวจ 2 ประเทศ ตั้งคณะทำงานภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติร่วมกัน ฝ่ายไทยได้ส่งมอบข้อมูล-พิกัดที่ตั้งสแกมเซ็นเตอร์ 60 แห่งในกัมพูชา โดยให้ฝ่ายกัมพูชาไปดำเนินการปราบปรามขั้นเด็ดขาด ซึ่ง ผู้แทนตำรวจไทย และ รองผู้บัญชาการตำรวจกัมพูชา ได้หารือกันนอกรอบ เพื่อนัดหมายประสานงานตามข้อตกลงนี้ กำหนดการ 16 ก.ย.นี้ ที่ จ.สระแก้ว

4)การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะกรณีบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) หารือ เพื่อให้เกิดความชัดเจน เกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าว และให้ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) หารือแนวทางการบริหารจัดการ บนพื้นฐานกรอบการหารือ JBC

โดยระหว่างนี้ให้ผู้ว่าฯ สระแก้ว และ ผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจย ประสานงานเพื่อให้การบริหารจัดการ สถานการณ์ให้มีความสงบเรียบร้อย หากโมเดลนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะนำไปใช้กับการบริหารจัดการพื้นที่อื่นที่มีปัญหาลักษณะเดียวกันต่อไป

5)ที่ประชุม GBC ได้หารือเรื่องการผ่อนปรนให้มีการผ่านแดนบางประเภทและบางจุด และระหว่างที่สถานการณ์ยังไม่เป็นปกติ เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการขนส่งข้ามแดน โดยมอบให้กลไก RBC หารือความเป็นไปได้ ในการอนุญาตขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่านแดนบางจุด ที่ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคง โดยอาจเริ่มจากจุดผ่านแดนถาวร จ.จันทบุรี และ จ.ตราด ก่อน

โดยสรุปตอนเห็นว่าภายหลังจากที่ 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนแล้ว พัฒนาการสำคัญในการประชุม GBC ในครั้งนี้ คือแนวทางที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้กำหนดแนวทางดำเนินการอีก 2 เรื่อง ที่ไทยให้ความสำคัญ แต่ก่อนหน้านี้ฝ่ายกัมพูชายังไม่เคยตอบรับ ได้แก่ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และ การปรามปรามสแกมเมอร์ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะติดตามกับฝ่ายกัมพูชา ให้ดำเนินการตามที่ตกลงโดยเร็ว

การประชุม GBC สมัยพิเศษครั้งต่อไป จะกำหนดให้เกิดขึ้นภายใน 30 วัน หลังจากนี้ โดยมีฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพ

“ผมขอย้ำว่าไทยและกัมพูชาไม่อาจย้ายหนีกันได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทั้ง 2 ประเทศ ต้องแก้ปัญหาต่างๆโดยสันติวิธี เพื่อนำสันติภาพมาสู่พื้นที่ชายแดน และประชาชนทั้งสองประเทศ จะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติอีกครั้ง” พล.อ.ณัฐพล กล่าว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวอีกว่า เมื่อวานนี้ (9ก.ย.) ได้รับทราบแนวทางจาก อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ได้เน้นย้ำเรื่องปกป้องอธิปไตยต้องมาเป็นอันดับแรก และให้ความสำคัญกับบทบาทกองทัพในการป้องกันประเทศ

พร้อมให้ดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งตนมีวิธีที่จะบริหารจัดการแบ่งโซนพื้นที่ตามความตึงเครียดของสถานการณ์ตามลำดับ

โซนที่ 1 มีความตึงเครียดสูงสูงคือพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.สุรินทร์ จ.บุรีรัมย์

โซนที่ 2 คือ จ.สระแก้ว พื้นที่ความรับผิดชอบของ กองทัพภาคที่ 1

โซนที่ 3 คือ จ.จันทบุรี จ.ตราด ที่มีความตึงเครียดน้อยกว่าจุดอื่น

การแบ่งโซนดังกล่าว นำมาซึ่งแนวคิดในการผ่อนปรน ซึ่งจะดูที่สถานการณ์ในระดับความตึงเครียดและจากที่ผู้ประกอบการขอให้ผ่อนปรนบ้าง จึงได้ดำเนินการในโซนที่ 3 ก่อน โดยมอบหมายให้กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด พิจารณาดำเนินการ เพราะเป็นมาตรการทางด้านความมั่นคง โดยให้ประสานงานในพื้นที่กับ กรมศุลกากร กระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงอุตสาหกรรม สนับสนุนข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางที่นำมาเจรจากัน

ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพล เปิดเผยว่า ก่อนการประชุมตนได้หารือกับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา แบบโฟว์อายใน 2 ประเด็น คือ สาส์น ของ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ส่งถึง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ในการแสดงความยินดีต่ออุทิน โดยข้อความแสดงถึงท่าทีซึ่งจะนำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์ โดย นายกฯไทย จึงอยากทราบแนวทางความคืบหน้าในการหารือในวันนี้

“ผมได้คุยกับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา ว่าประเด็นเจ็บปวดที่ต้องแก้ไขของบ้านเราในวันนี้คือเรื่องการเก็บกู้วัตถุระเบิด กับ พื้นที่บ้านหนองจาน ขอความกรุณาให้ทางกัมพูชาตอบรับในเรื่องนี้ ซึ่งผลการประชุมได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกัมพูชา อย่างไรก็ตามก็ต้องติดตามความจริงใจของกัมพูชาในการดำเนินการตามผลการประชุมวันนี้หรือไม่” พล.อ.ณัฐพล เผย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์