ในโลกวรรณกรรมตะวันออก ‘มหาภารตะ’ (Mahabharata) ถือเป็นมหากาพย์ทรงพลังอีกเรื่องหนึ่ง ที่สะท้อนภาพสงครามและศีลธรรมของมนุษย์
‘ทุ่งกุรุเกษตร’ กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่ฉายภาพความขัดแย้งระหว่าง ‘หน้าที่’ และ ‘ความปรารถนาส่วนตัว’ ผ่านการสู้รบระหว่างฝ่าย ‘ปาณฑพ’ และ ‘เการพ’
มีหลายต่อหลายสิ่งเกิดขึ้นในมหายุทธ์ครั้งนี้ แต่เรื่องที่ถูกกล่าวขาน และรู้จักกันอย่างแพร่หลาย คงหนีไม่พ้น ‘บทภาวนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า’ หรือ ‘ภควัทคีตา’ (Bhagavad Gita) ซึ่งต่อมากลายเป็นหลักธรรมศักดิ์สิทธิ์สำคัญของชาวฮินดูู นิกายไวษณพ (Vaishnavism) ไปโดยปริยาย
ด้วยความทรงอิทธิพลในเชิงปรัชญาและการเมือง วลี “รบเถิดอรชุน” ที่กล่าวโดย ‘พระกฤษณะ’ เทพเจ้า (วิษณุเทพ) ในรูปแบบอวตารเป็นสหายศึกและผู้ขับราชรถให้แก่ ‘อรชุน’ นักรบหนุ่มฝ่ายธรรมะ น่าจะเป็น ‘วรรคทอง’ ที่ใครต่อใครคุ้นเคย และนำไปปรับใช้ ตีความ และอ้างถึง ‘การทำหน้าที่’ ในหลายมิติมาทุกยุคสมัย ทั้ง ‘ทางธรรม’ และ ‘ทางโลก’ อาทิ ‘มหาตมะ คานธี’ ใช้คัมภีร์นี้เป็นรากฐานของ ‘สัจจะอหิงสา’ ปลดแอก ‘อินเดีย’ จนได้รับ ‘เอกราช’ คืนจากอังกฤษ
ขณะเดียวกันก็มีการตีความออกมาในทางตรงกันข้ามเช่นกัน…ไม่ยกเว้นแม้แต่ความเป็นไปของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน ‘ไทย - กัมพูชา’ ในปัจจุบัน
เมื่อวันก่อนภายหลังจากที่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกรัฐมนตรีไทย ประกาศฉีกปฏิญาณสันติภาพ จากเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนขาขาด ทำให้การปลุกกระแสรักชาติกลับมาอีกครั้ง
หนึ่งในความเห็นที่น่าสนใจ คือมุมมองของ ‘พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์’ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ที่แสดงทรรศนะบนเฟซบุ๊ก มองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ฝ่ายกัมพูชามีเจตนาชัดเจนที่จะเหยียดหยามทหารไทย พร้อมมองว่ารัฐบาลไทยไร้น้ำยา จึงได้สื่อสารไปยัง ‘อนุทิน’ ว่า ต้องเอาแนวคิดของกองทัพเป็นหลักในการแก้ไขปัญหา
โดยอ้างอิงวลีศักดิ์สิทธิ์ของพระกฤษณะ มาแต่งแต้มใหม่อีกครั้ง เป็น “รบเถิดอรชุน รบเถิดอนุทิน” ซึ่งปรากฏการณ์นี้ สื่อสารชัดเจนถึงการใช้ ‘วรรณกรรม’ เพื่อสะท้อนความรู้สึก - ความต้องการ ให้เกิดการต่อสู้
การเคลื่อนไหวนี้จุดกระแสความคิดเห็นให้แตกเป็นสองฟาก — ฟากหนึ่งเชื่อว่า ‘สันติคือคำตอบ’ ขณะที่อีกฟากกลับเห็นว่า ‘อ่อนข้อคือพ่ายแพ้’
จากทุ่งกุรุเกษตร ถึงชายแดนไทย - กัมพูชา : บทเรียนของหน้าที่และความกล้า ในบริบทที่แตกต่าง
มีการตีความเชิงปรัชญาถึงสมรภูมิทุ่งกุรุเกษตร ว่าเป็นการปะทะที่ไม่ได้เกิดขึ้น เพียงเพราะความต้องการชัยชนะทางอำนาจ หรือความต้องการสร้างอิทธิพลแบบรัฐชาติ แต่เป็นการปะทะเชิงจิตวิญญาณและศีลธรรม อันขัดแย้งอยู่ในหัวใจของ ‘อรชุน’ ในฐานะหัวหอกของ ‘ฝ่ายปาณฑก’ ที่เต็มไปด้วยความลังเล เกรงว่าจะต้องฆ่าญาติพี่น้องและครูอาจารย์ผู้มีพระคุณ ทำให้ ‘พระกฤษณะ’ ต้องชี้แนะด้วยเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ระบุถึงหน้าที่ของ ‘นักรบ’ ที่ต้องมาก่อน ‘ความปรารถนาส่วนตัว’
“มีหลายๆ ครั้ง หลายๆ กรณี ที่เราเห็นความลังเลของผู้นำ ดังนั้นการใช้สัญลักษณ์เชิงวรรณกรรม เพื่อกระตุ้น หรือฉายภาพความคิด อาจช่วยให้เกิดความเข้าใจบริบท แต่การตีความเชิงนี้จะต้องมีความลุ่มลึกและเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์และความเป็นธรรมสูงสุด”
เป็นความเห็นของ ‘รองศาสตราจารย์ ดร.สุมาลี มหณรงค์ชัย’ อาจารย์ประจำสาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สะท้อนถึงบทบาทของ ‘วรรณกรรม’ ในการให้กรอบคิดและค่านิยมทางสังคม ซึ่งการใช้วลี ‘รบเถิดอรชุน’ แบบที่สังคมไทยเข้าใจกันอยู่ อาจเป็นการตีความ ‘แบบผิวเผิน’ และนำไปใช้ผิดบริบท เพื่อปลุกปั่นสร้างความรุนแรงต่อ ‘คู่ขัดแย้ง’ ที่ไม่ได้หมายถึง ‘รัฐบาลกัมพูชา’ แต่อาจเหมารวมถึง ‘พลเมืองกัมพูชา’ ด้วย
‘สุมาลี’ วิเคราะห์ตัวละครที่เป็นนักรบอย่าง ‘อรชุน’ และความหมายของ ‘ภควัทคีตา’ ผ่านคำกล่าวของที่ปรึกษาคนสำคัญอย่าง ‘พระกฤษณะ’ ด้วยความลุ่มลึก - น่าสนใจ โดยผู้เขียนขอสรุปออกมาเป็น 3 บริบทสำคัญ
- ความลังเลของอรชุน: อรชุนไม่ต้องการทำสงคราม เพราะต้องต่อสู้กับญาติและครูบาอาจารย์ที่เคารพรัก
- คำแนะนำของพระกฤษณะ: การต่อสู้เป็นการทำหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามหลักคำสอนสำคัญที่ชาวฮินดูยึดถือ
- เจตนาของอรชุน: ต้องการยุติสงครามที่ยืดเยื้อ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หรือผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ได้รบด้วยความเกลียดชัง แต่รบเพราะทำตามหน้าที่และเพื่อปลดปล่อยผู้คนทุกฝ่าย จากความทุกข์ทรมานเพราะสงคราม
หากมองภาพตามการสังเคราะห์ดังกล่าว จะเห็นว่าการตีความแบบ ‘ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด’ อาจเป็นมุมมองที่ตื้นเขิน ขาดความเข้าใจในบริบททางปรัชญาที่แฝงไว้อย่างลึกซึ้งใน ‘ภควัทคีตา’ กลับกลายเป็นว่าข้อความในคัมภีร์ดังกล่าว ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความขัดแย้งและความเกลียดชัง โดยเฉพาะกับ 'ชาวกัมพูชา' ที่ไม่ใช่ ‘ศัตรู’ ของ 'ไทย' (หรือของรัฐบาลไทย)
สุมาลี ได้เสนอมุมมองว่า ประเทศไทย โดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องรวมทั้งอินฟลูเอ็นเซอร์ ควรสร้างอิทธิพลอย่างสร้างสรรค์และเป็นไปในเชิงบวก เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับประชาชนกัมพูชา ทำให้พวกเขารู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในฐานะประชาคมในภูมิภาค ไม่ใช่แพร่กระจาย ‘วาทกรรม’ ที่ทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรู และควรแยกแยะปัญหาที่เกิดจาก ‘กลุ่มผู้นำ’ ที่มีอำนาจออกจากมุมคิดของประชาชนทั้งหมด
หากประเทศไทยมองประชาชนกัมพูชาดุจเครือญาติ เช่นเดียวกับ ‘อรชุน’ ที่มองคู่ต่อสู้เป็นญาติ สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้
เป้าหมายที่ถูกต้องจึงควรเป็นการยุติความขัดแย้งเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ส่วนมุมมองของการทำ ‘หน้าที่’ นั้นหากผู้นำไทยตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนหรือเฉพาะกลุ่มเป็นหลัก นั่นจะเบี่ยงเบนจากหน้าที่ที่แท้จริงแบบที่อรชุนกระทำ
“เดิมทีอรชุนคิดหนัก ทั้งเรื่องของการรบพุ่งกับญาติพี่น้องและอาจารย์ ซึ่งถ้าไม่รบก็จะบกพร่องต่อหน้าที่ตามวรรณะ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะรบ เพื่อทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ตามคำแนะนำของพระกฤษณะ แต่ถ้ามองอย่างลึกซึ้ง มันเป็นการทำหน้าที่เพื่อปลดปล่อยผู้คนที่ทุกข์ทรมานทั้ง 2 ฝั่ง ไม่ใช่การทำหน้าที่เพื่อตอกย้ำความเป็นนักรบ หรือเพื่อแสดงอำนาจที่มีอยู่เหนืออีกฝ่ายหนึ่ง เขาไม่ได้ยุติความเจ็บปวดแค่เฉพาะตัวของเขาเอง แต่เพื่อทุกคนและทุกฝ่าย ซึ่งรัฐบาลเราคิดได้ถึงเพียงนั้นหรือไม่ เราจะคิดถึงขนาดว่า ไม่ใช่แค่การปลดปล่อยคนไทย แต่ต้องปลดปล่อยคนกัมพูชาด้วยหรือเปล่า หากคิดไม่ถึงขนาดนั้น ก็ยังไม่ควรอ้างคำพูดของพระกฤษณะ เพราะการอ้างแบบนั้นเพียงเพื่อหาความชอบธรรมที่จะโจมตีอีกฝ่ายเป็นมุมมองที่ผิวเผินเกินไป”
— สุมาลี ให้ความเห็น
สุมาลี ให้มุมมองส่งท้ายว่าการใช้ความรุนแรงตอบโต้กับ ‘ผู้นำที่เชื่อว่าเป็นพาลชน’ อาจไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์เสมอไป และอาจทำให้ ‘ประเทศไทย’ ตกอยู่ในหลุมพราง ที่ถูกนานาชาติมองว่าเป็นผู้เบียดเบียนและรังแกฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่า
สิ่งที่สำคัญกว่าคือการสร้างอิทธิพลเชิงสร้างสรรค์ และการทำความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง เพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงสร้างวาทกรรมที่ปลุกระดมให้เกิดความโกรธ และข้อขัดแย้งที่บานปลายไปเรื่อยๆ เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยไม่กี่กลุ่มเท่านั้น
ดังนั้น การนำวลี ‘รบเถิดอรชุน’ มาใช้อย่างผิวเผินเพื่อปลุกปั่นความรุนแรงหรือชาตินิยมในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น เป็นอันตรายและอาจนำไปสู่ผลเสียมากกว่าผลดี เพราะ ‘สันติภาพที่แท้จริง’ จะเกิดขึ้นได้เมื่อทั้งสองฝ่ายมองเห็นประชาชนของกันและกันเป็นเครือญาติ - ไม่ใช่ศัตรู และ ‘ผู้นำ’ จะต้องตัดสินใจโดยคำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
เพราะในท้ายที่สุด ‘อรชุน’ ไม่ได้ชนะสงครามด้วยอาวุธ หากแต่ชนะสงครามในใจตนเอง เขาเลือกทำหน้าที่ด้วยสติและเมตตา ไม่ใช่ด้วยโทสะและอำนาจ เมื่อหัวใจสงบอยู่บนสนามรบ...นั่นแหละคือ ‘ชัยชนะ’ สูงสุดของ ‘มนุษย์'



