ไฟโหม 'เนปาล' จุดเดือดเจน Z สะท้อนถึงไทย

11 ก.ย. 2568 - 12:05

  • จาก 'เนโปคิด' สู่ไฟโหมกลางเมือง ไม่ใช่ ไม่ใช่แค่ 'เจน Z' แต่คือความโกรธของทั้งสังคม

  • บทเรียนสะท้อนถึง 'ไทย' : ความเหมือนและแตกต่างกันของ 'ม็อบเยาวชน'

ไฟโหม 'เนปาล' จุดเดือดเจน Z สะท้อนถึงไทย

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา นครกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล แปรสภาพเป็นสมรภูมิความขัดแย้ง เมื่อการประท้วงที่เริ่มจาก ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ ลุกลามไปสู่การปะทะรุนแรงกลางเมืองหลวง ภาพเปลวเพลิงจากการเผาบ้านพักอดีตประธานาธิบดี การทุบตีรัฐมนตรี ไปจนถึงการก่อวินาศกรรมอาคารรัฐสภา ถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเดือดดาลของประชาชน แต่ยังกลายเป็นสัญญาณเตือนต่อระบอบการเมืองที่ยังคงยึดโยงกับ ‘ระบบอุปถัมภ์’ และ ‘การเอื้อผลประโยชน์ของชนชั้น’ ได้อย่างชัดเจน  

จะว่าไป หัวใจหลักของการประท้วงครั้งนี้ ชาวเนปาลเรียกว่า 'เนโปคิดส์' (Nepo Kids) ที่สื่อถึง ลูกหลานของคนดังหรือผู้ที่มีอิทธิพลในวงการต่างๆ ที่ได้รับประโยชน์หรือความสำเร็จได้ง่ายกว่าคนอื่น เนื่องจากความสัมพันธ์ทางครอบครัว อาทิ การดำรงชีพหรูหราของบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นเส้นขนานที่ชัดเจนกับชีวิตจริงของ ‘คนหนุ่มสาว’ ที่ว่างงานและไร้อนาคต กลายเป็นตัวจุดไฟแห่งความโกรธแค้น เมื่อรัฐบาลเลือกที่จะปิดกั้นแพลตฟอร์มออนไลน์แทนการฟังเสียงประชาชน ความไม่พอใจจึงปะทุขึ้นไม่ต่างกับ ‘ไฟลุกโหม’

ไม่ใช่แค่เจน Z : เมื่อความโกรธกลายเป็นของสาธารณะ 

“หลายสื่อมักจะบอกว่านี่คือการลุกฮือของเจน Z แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป มันไม่ใช่แค่เสียงของวัยรุ่น”

เป็นมุมมองของ ‘ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์’ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการด้านขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ความรุนแรงและสันติวิธี ที่มองว่า จุดตั้งต้นการประท้วงที่เนปาล อาจมีจุดเริ่มจากเยาวชนที่เรียกตัวเองว่า ‘Gen Z’ แต่เมื่อสถานการณ์บานปลาย ความไม่พอใจต่อความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรม ได้ดึงดูดประชาชนหลากหลายกลุ่มวัยให้เข้ามามีส่วนร่วม การทำความเข้าใจจึงไม่อาจอธิบายเพียงว่าเป็น ‘ม็อบ Gen Z’ อีกต่อไป หากแต่เป็น ‘ความโกรธ’ ที่ถูกจุดจาก ‘คนรุ่นใหม่’ จนกลายเป็นประเด็นของ 'สาธารณะ' ซึ่งเป็นพลวัตที่ต้องเข้าใจว่า เมื่อความไม่พอใจไม่ได้รับการตอบสนอง การประท้วงจึงกลายเป็นเวทีร่วมของคนทั้งสังคม  

ดังนั้นจึงหมายความว่า 'เนโปคิดส์' กลายเป็นสิ่งตอกย้ำช่องว่างทางชนชั้น" จนทำให้เกิดแรงกระเพื่อมจากโซเชียลมีเดีย ฉายภาพความเหลื่อมล้ำถูกเปรียบเทียชัดเจน โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ทันที ความไม่พอใจที่อัดแน่นมานานจึงถูกส่งต่อเป็นพลังร่วมของมวลชน ส่วนความไม่พอใจก็ทวีขึ้นเรื่อยๆ จากการตัดสินใจของรัฐบาลที่เลือก ‘ปิดกั้น’ แทน ‘รับฟัง’ ช่องทางเดียวที่เหลือคือการออกมาบนท้องถนน  

ในขณะที่หลายคนรู้สึกประหลาดใจ กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพราะเคยสัมผัสหรือคุ้นเคยกับผู้คนและสังคมเนปาลที่โอบอ้อมอารี แต่นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อ้างอิงถึงเนื้อหาในสารคดี Five Steps to Tyranny (จัดทำโดย สำนักข่าว BBC ในปี 2001) ซึ่งพยายามอธิบายผ่านการทดลองทางสังคมว่ามนุษย์เราต่างสามารถก่อความรุนแรงต่อผู้อื่นได้ทั้งสิ้น เริ่มจากขั้นตอนแรก ด้วยการแบ่งแยกคนออกเป็น 'พวกเรา' และ 'พวกเขา' ( Classification)

ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจในเนปาลยิ่งผลักไสให้กลุ่มผู้ชุมนุมรู้สึกเป็นอื่นจากรัฐบาลและชนชั้นนำในสังคมเดียวกัน ยิ่งเมื่อรัฐบาลเนปาลบังคับใช้แนวทางการปราบปรามมวลชนด้วยความรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิต รวมทั้งนักเรียน-นักศึกษา ทำให้ผู้ชุมนุมไม่ลังเลที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อตอบโต้ ด้วยเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็น 'ปีศาจ' และไม่ใช่ 'เพื่อนมนุษย์' อีกต่อไป

‘ชญานิษฐ์’ เปรียบเหตุการณ์ครั้งนี้ ผ่านการจัดการปัญหาบ้านเมืองของรัฐบาลเนปาลว่า เหมือนเอา ‘ฝาไปปิดกาน้ำร้อน’ ที่กำลังทะลุจุดเดือด ซึ่งไม่ได้ทำให้ ‘ความร้อนแรงลดลง’ แต่กลับทำให้ ‘ทวีความร้อนมากขึ้น’ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นพลวัตรทางสังคม ที่สามารถพบเห็นได้หลายประเทศทั่วโลก 

แพทเทิร์นที่คล้ายกัน : อินโดนีเซีย – เนปาล – ฝรั่งเศส

‘ชญานิษฐ์’ ชวนมองปรากฏการณ์นี้ในบริบทกว้างขึ้น โดยเปรียบเทียบกับสถานการณ์สากล ซึ่งจะทำให้เห็นว่า ‘ความรุนแรงที่กาฐมาณฑุ’ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว หากแต่มีลักษณะคล้ายกับการเคลื่อนไหวในอีกหลายประเทศ 

เธอยกตัวอย่างการประท้วงที่ ‘อินโดนีเซีย’ เมื่อไม่นานมานี้ จากกรณีสมาชิกรัฐสภาโหวตขึ้นเงินเดือนและเพิ่มสวัสดิการให้ตนเอง ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ประชาชนส่วนใหญ่เผชิญความยากลำบาก ความเหลื่อมล้ำสุดขั้วนี้ ได้กระตุ้นให้ประชาชนออกมาบนท้องถนน และเมื่อเทียบกับ ‘เนปาล’ ก็มีเหตุผลทางโครงสร้างคล้ายกัน หรือแม้แต่สถานการณ์การชุมนุมที่ ‘ฝรั่งเศส’ ภายใต้แคมเปญ ‘Block Everything’ (ปิดกั้นทุกอย่าง) ที่มีเป้าหมายกดดันชนชั้นการเมือง และต่อต้านมาตรการตัดงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งทุกกรณีล้วนมีที่มาจาก ‘ชนชั้นนำใช้ระบบอุปถัมภ์สร้างอภิสิทธิ์’ ขณะที่คนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง 

“สิ่งที่เราเห็นคือความไม่พอใจต่อความเหลื่อมล้ำและความไม่โปร่งใส ซึ่งไม่ต่างอะไรจากไทยในหลายมิติ เพียงแต่รายละเอียดและจังหวะทางการเมืองแตกต่างกัน” 

ชญานิษฐ์ กล่าว

ภาพสะท้อนจาก ‘เนปาล’ ถึง ‘ไทย’  

เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมไทย ‘ชญานิษฐ์’ ชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นใน ‘เนปาล’ มีลักษณะบางอย่างที่สะท้อนกับการเคลื่อนไหวของ ‘คนรุ่นใหม่ในไทยช่วงปี 2563’

ในปีนั้น การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา และเยาวชนไทยได้กลายเป็นปรากฏการณ์ใหญ่ที่ท้าทายโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม เสียงเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปการเมือง การลดความเหลื่อมล้ำ และการยุติระบบอุปถัมภ์ ถูกขับเคลื่อนผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเข้มข้น การรวมตัวบนท้องถนน เป็นผลจากการที่รัฐไม่เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นและการแสดงออกของประชาชนผ่านช่องทางและสถาบันทางการเมืองอย่างสันติ

“สิ่งที่น่าสนใจคือ บทเรียนจากไทยทำให้เราเห็นว่า คนรุ่นใหม่สามารถสร้างแคมเปญใหม่ๆ และดึงผู้คนให้เข้ามามีส่วนร่วมได้มาก แต่ก็ถูกเผชิญหน้าด้วยมาตรการรัฐที่พยายามปิดกั้นหรือกดทับเสียงเหล่านั้น”   

ชญานิษฐ์ อธิบาย

โดย ‘ชญานิษฐ์’ วิเคราะห์การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ ‘รัฐไทย’ ต่อการจัดการกลุ่มมวลชน ในช่วงหลังปี 2563-2564 ไว้ 2 ขยัก 

  • การสลายการชุมนุมในช่วงปี 2563-2564 (โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์แยกปทุมวัน ซึ่งถูกมองว่ารัฐใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมมากที่สุด) ทำให้มีผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นและเกิดการประณามจากทั้งในและต่างประเทศ  
  • แต่เมื่อ ‘การปราบปรามด้วยกำลังกายภาพไม่สำเร็จ’ จึงมีการหันมาใช้ ‘นิติสงคราม’ เปลี่ยนการใช้กำลังในการสลายการชุมนุม มาใช้กฎหมายเพื่อควบคุมหรือตัดกำลังมวลชน จนทำให้ปัจจุบันมีนักโทษการเมืองเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

แต่การใช้กฎหมายเปรียบเสมือน ‘ผ้าปิดกองฟาง’ ซึ่งไม่ได้ทำให้ความคับข้องใจของประชาชน ที่พร้อมจะติดเชื้อไฟหายไป แต่ยังคงสะสมกองไว้อยู่รอวันที่ ‘ไม้ขีดติดไฟ’ จะถูกโยนเข้ากองฟาง 

แม้รูปแบบการประท้วงจะต่างกัน โดย ‘ไทย’ ในปี 2563 เน้นการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ การใช้ศิลปะ การปราศรัย และการสร้างสรรค์ในโลกออนไลน์ ขณะที่ ‘เนปาล’ พัฒนาไปสู่การเผชิญหน้ารุนแรง แต่ ‘ชญานิษฐ์’ เห็นว่า แก่นของการเคลื่อนไหวกลับมีความคล้ายคลึง 

“ทั้งสองประเทศสะท้อนปัญหาโครงสร้างเดียวกัน คือความเหลื่อมล้ำ ความไม่โปร่งใส และการเมืองที่ไม่เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ เมื่อเสียงเหล่านี้ถูกกดทับยิ่งนาน ความรุนแรงก็ยิ่งเป็นไปได้” 

นักรัฐศาสตร์ มธ. กล่าวด้วยความกังวล

ในมุมมองของนักวิชาการรัฐศาสตร์ ‘ปรากฏการณ์เนปาล’ คือสัญญาณเตือนว่า หากสังคมไม่ยอมรับเสียงของคนรุ่นใหม่ และยังคงปล่อยให้ระบบอุปถัมภ์กำหนดทิศทางการเมือง ความไม่พอใจอาจระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ 

“ไม่ใช่เพียงเนปาลหรือไทย แต่เป็นโจทย์ของประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 21 ทั้งหมด เราจะทำให้เสียงของคนรุ่นใหม่ไม่ถูกกีดกันและปิดกั้นได้อย่างไร และจะจัดการกับความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้นทุกวันได้อย่างไร” 

ชญานิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

ท้ายที่สุดไฟที่โหมกระหน่ำใน ‘เนปาล’ ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ในประเทศห่างไกล หากแต่เป็นภาพสะท้อนถึงแรงกดดันของสังคมร่วมสมัย ที่การปิดกั้นไม่อาจดับไฟ (หรือความคับข้องใจของประชาชน) ได้ มีแต่จะยิ่งทำให้ลุกโชน การเคลื่อนไหวของเจน Z ในเนปาล และการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ไทยในปี 2563 ต่างก็ชี้ไปที่บทเรียนเดียวกัน

หากรัฐไม่ฟังเสียงอนาคต ความรุนแรงก็อาจกลายเป็นทางออกที่ไม่มีใครต้องการ...

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์