‘เมืองน่าอยู่’ เป็นเทรนด์การพัฒนาเมืองที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ นอกจากเมืองที่ดีจะเป็นรากฐานของคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนแล้ว ยังเปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยว นักลงทุน และแรงงานที่มีทักษะความสามารถ ให้เข้ามาร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกัน
ในแต่ละปี ทาง Economist Intelligence Unit’s (EIU) จะประกาศการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก ซึ่งปี 2022 นี้ อันดับหนึ่งตกเป็นของกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดผู้อยู่อาศัยและนักทักท่องเที่ยว มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง ระบบสาธารณสุขที่ดี อีกทั้งยังเปิดกว้างด้านวัฒนธรรมและความบันเทิง
เมืองที่อากาศดี เศรษฐกิจคึกคัก รถไม่ติด?
เมืองที่เปิดรับความหลากหลาย และสร้างสรรค์?
เมืองที่ทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม?
ถ้ามองตามความเป็นจริง ประเทศไทย หรือแม้แต่กรุงเทพฯ ยังดูห่างไกลจากคำสวยหรูนี้อยู่มาก ไม่ว่าจะในแง่สภาพแวดล้อม การเดินทาง การเข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน หรือแม้แต่ทางเดินเท้าก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้แก่คนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง เรายังคงเห็นปัญหาเดิมๆ อย่างถนนขรุขระ การจราจรติดขัด ทางเดินและทาง เข้า-ออก อาคารที่ไม่เป็นมิตรกับผู้พิการ และปัญหาน้ำท่วมขังกันอยู่ทุกปี
“กรุงเทพฯ มีตัวเลขที่เกี่ยวข้อง คือ 1 กับ 98 โดยเราเป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 1 ของโลก แต่ 98 คืออันดับเมืองน่าอยู่ของโลก” ชัชชาติมักกล่าวประโยคนี้ เวลาได้รับเชิญไปกล่าวเปิดงานหรือพูดคุยบนเวทีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมือง
หากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เราอาจยังไม่เห็นภาพใหญ่ที่เป็นรูปธรรม เพราะเป็นเรื่องที่ใช้ระยะเวลานานและต้องดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เห็นได้ชัด คือ การเปลี่ยนแปลงระดับหน่วยย่อย (micro) หรือการแก้ปัญหาเส้นเลือดฝอย ซึ่ง กทม. ได้เสนอวิธีแก้ด้วยการให้ประชาชนช่วยกันถ่ายรูปและแจ้งปัญหาที่พบเจอในชีวิตประจำวันผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เช่น ฝาท่อหาย ท่อแตก ทางเท้าใช้งานไม่ได้ ถนนไม่เรียบ สะพานลอยชำรุด และปัญหาอื่นๆ อีกมากมายซึ่งเป็นอันตรายและอาจทำให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปให้เจ้าหน้าที่แต่ละฝ่ายที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อลงมือแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด
นี่คือการใช้ประโยชน์จาก Crowdsourcing หรือข้อมูลจากภาคประชาชน ทำให้หน่วยงานรัฐรับรู้ปัญหา แพลนวิธีการแก้ไข และลงมือทำได้ทันที ขณะเดียวกันก็ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนและเสียเวลา โดยเปลี่ยนระบบราชการจากระบบท่อที่ต้องรอรับเรื่องและอนุมัติจากแต่ละฝ่าย มาสู่ระบบแพลตฟอร์ม
“ผมคิดว่า Smart City กับเมืองน่าอยู่คือเรื่องเดียวกัน เป้าหมายของเราจึงต้องการ Smart เพื่อเป็นเมืองที่น่าอยู่ขึ้น ทำอย่างไรให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวในงานปาฐกถา Thailand Smart City: Bangkok Model เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2565 พร้อมกับขยายความต่อว่า ก่อนจะนิยาม Smart City เราต้องย้อนกลับไปดูก่อนว่า ‘เมืองคืออะไร’
ในแง่หนึ่ง เมืองคือตลาดแรงงาน (Labor Market) การมีงานและเศรษฐกิจคือหัวใจสำคัญที่ทำให้คนอยู่ในเมืองได้ ดังนั้น กทม. จึงมีหน้าที่ดูแลพัฒนาเมืองให้รองรับการใช้ชีวิตและการทำงานของคน ประกอบด้วย
ส่วน Smart City ในทัศนะของผู้ว่าฯ คือ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการทำหน้าที่ของเมือง และต้องตอบโจทย์ ‘คน’ เพราะเมืองไม่ใช่สิ่งปลูกสร้าง แต่เมืองคือคน ดังนั้นการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจึงต้องวาง ‘คน’ เป็นศูนย์กลาง (people-oriented mindset)
“หากมีแค่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่เมืองที่น่าอยู่ ต่อให้เทคโนโลยีล้ำแค่ไหน แต่ถ้าผู้คนไม่ได้คิดตาม ไม่ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสม สุดท้ายเมืองก็ไม่ฉลาด”
“หากจะตั้งคำถามของเมืองต้องมาจากคนที่เข้าใจปัญหาและมีคำตอบ โดยมีเทคโนโลยีมาช่วย ผมไม่ได้เชื่อเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) มากนัก แต่ผมเชื่อในเรื่องเทคโนโลยีเป็นผู้ช่วยที่ชาญฉลาด หรือ Intelligent Assistant (IA) ของเรา เมื่อเรามีปัญหา เราใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยตอบคำถามของเรา”
“การจะแก้ปัญหา เราต้องใช้เลนส์หลากสี (multi color lenses) ยกตัวอย่างเช่น การจะแก้ปัญหาอาชญากรรม ถ้าใส่แค่เลนส์เทคโนโลยี ก็จะแก้ด้วยการติดกล้อง CCTV อย่างเดียว แต่หากเราใช้เลนส์หลากสี เราจะมองปัญหาในหลายส่วน เช่น การแก้ปัญหาเชิงสังคม การศึกษา การหางาน การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไฟส่องสว่าง ที่พักอาศัย ซึ่งเทคโนโลยีอาจจะเป็นแค่หนึ่งในหลายๆ คำตอบ”
ชัชชาติยังเผยสิ่งที่เขาค้นพบหลังทำงานเป็นผู้ว่าฯ มานาน 4 เดือนว่า ปัญหาสำคัญที่ฝังรากลึกในกรุงเทพฯ คือ ‘ความไว้วางใจ’ ระหว่าง กทม. และประชาชน ซึ่งรวมไปถึงปัญหาคอร์รัปชันและการทุจริต ถ้าไม่แก้ปัญหาเหล่านี้ เมืองก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
แล้ว กทม. จะแก้โจทย์นี้อย่างไร ชัชชาติมองว่าต้องเริ่มจากยึด ‘ประชาชน’ เป็นหลัก โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความคิดสร้างสรรค์ สร้างโอกาส ความร่วมมือ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยตอบโจทย์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเรียกความมั่นใจของประชาชนกลับคืนมา เช่น การจัดทำ Open Data ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลการทำงานของราชการและนำไปใช้ประโยชน์ได้
นอกจากนี้ กทม. ยังจับมือกับหน่วยงานต่างๆ พัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับ ‘คน’ และ ‘เมือง’ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบหมอทางไกล การปรับปรุงการขอใบอนุญาตทางระบบออนไลน์ One Stop Service การบริหารจัดการจราจรด้วยระบบอัจฉริยะ (ITMS) เพื่อบริหารจัดการจราจรทั้งโครงข่ายและกวดขันวินัยจราจร ส่วนนโยบายการปลูกต้นไม้ล้านต้นก็นำเทคโนโลยีมาติดตามความคืบหน้าโครงการ
นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) ประจำชุมชน ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล ให้ความรู้ คอยสอนเทคโนโลยี เพื่อให้คนใช้เทคโนโลยีเป็น ให้คนเข้าถึงการบริการของรัฐ การจัดกิจกรรมโรงเรียนวันเสาร์ (Saturday School) ให้ความรู้นอกเหนือจากหลักสูตร เพื่อให้เด็กรู้ลึกและรู้กว้าง
“เราต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนให้คนมีความคิดที่แตกต่าง ยอมรับ และพัฒนาก้าวไปด้วยกัน สุดท้ายพลังอยู่ที่คน คนคือเมือง ถ้าคนฉลาด เดี๋ยวเมืองฉลาด”
อ้างอิง: ปาฐกถาของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในงาน Thailand Smart City: Bangkok Model
ในแต่ละปี ทาง Economist Intelligence Unit’s (EIU) จะประกาศการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก ซึ่งปี 2022 นี้ อันดับหนึ่งตกเป็นของกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดผู้อยู่อาศัยและนักทักท่องเที่ยว มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง ระบบสาธารณสุขที่ดี อีกทั้งยังเปิดกว้างด้านวัฒนธรรมและความบันเทิง
เมืองน่าอยู่ควรเป็นแบบไหน
เมืองที่อากาศดี เศรษฐกิจคึกคัก รถไม่ติด?
เมืองที่เปิดรับความหลากหลาย และสร้างสรรค์?
เมืองที่ทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม?
ถ้ามองตามความเป็นจริง ประเทศไทย หรือแม้แต่กรุงเทพฯ ยังดูห่างไกลจากคำสวยหรูนี้อยู่มาก ไม่ว่าจะในแง่สภาพแวดล้อม การเดินทาง การเข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน หรือแม้แต่ทางเดินเท้าก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้แก่คนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง เรายังคงเห็นปัญหาเดิมๆ อย่างถนนขรุขระ การจราจรติดขัด ทางเดินและทาง เข้า-ออก อาคารที่ไม่เป็นมิตรกับผู้พิการ และปัญหาน้ำท่วมขังกันอยู่ทุกปี
“กรุงเทพฯ มีตัวเลขที่เกี่ยวข้อง คือ 1 กับ 98 โดยเราเป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 1 ของโลก แต่ 98 คืออันดับเมืองน่าอยู่ของโลก” ชัชชาติมักกล่าวประโยคนี้ เวลาได้รับเชิญไปกล่าวเปิดงานหรือพูดคุยบนเวทีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมือง
5 เดือน: กรุงเทพฯ ภายใต้การบริหารของชัชชาติเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
หากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เราอาจยังไม่เห็นภาพใหญ่ที่เป็นรูปธรรม เพราะเป็นเรื่องที่ใช้ระยะเวลานานและต้องดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เห็นได้ชัด คือ การเปลี่ยนแปลงระดับหน่วยย่อย (micro) หรือการแก้ปัญหาเส้นเลือดฝอย ซึ่ง กทม. ได้เสนอวิธีแก้ด้วยการให้ประชาชนช่วยกันถ่ายรูปและแจ้งปัญหาที่พบเจอในชีวิตประจำวันผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เช่น ฝาท่อหาย ท่อแตก ทางเท้าใช้งานไม่ได้ ถนนไม่เรียบ สะพานลอยชำรุด และปัญหาอื่นๆ อีกมากมายซึ่งเป็นอันตรายและอาจทำให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปให้เจ้าหน้าที่แต่ละฝ่ายที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อลงมือแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด
นี่คือการใช้ประโยชน์จาก Crowdsourcing หรือข้อมูลจากภาคประชาชน ทำให้หน่วยงานรัฐรับรู้ปัญหา แพลนวิธีการแก้ไข และลงมือทำได้ทันที ขณะเดียวกันก็ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนและเสียเวลา โดยเปลี่ยนระบบราชการจากระบบท่อที่ต้องรอรับเรื่องและอนุมัติจากแต่ละฝ่าย มาสู่ระบบแพลตฟอร์ม
“ผมคิดว่า Smart City กับเมืองน่าอยู่คือเรื่องเดียวกัน เป้าหมายของเราจึงต้องการ Smart เพื่อเป็นเมืองที่น่าอยู่ขึ้น ทำอย่างไรให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวในงานปาฐกถา Thailand Smart City: Bangkok Model เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2565 พร้อมกับขยายความต่อว่า ก่อนจะนิยาม Smart City เราต้องย้อนกลับไปดูก่อนว่า ‘เมืองคืออะไร’
ในแง่หนึ่ง เมืองคือตลาดแรงงาน (Labor Market) การมีงานและเศรษฐกิจคือหัวใจสำคัญที่ทำให้คนอยู่ในเมืองได้ ดังนั้น กทม. จึงมีหน้าที่ดูแลพัฒนาเมืองให้รองรับการใช้ชีวิตและการทำงานของคน ประกอบด้วย
- เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้มีความสะดวกมากขึ้น
- พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนและสิ่งแวดล้อมต่างๆ
- สร้างโอกาสสำหรับทุกคน
- สร้างความไว้วางใจ (Trust) ซึ่งหากเมืองไหนไม่มีเรื่องนี้คงอยู่ได้ยาก
ส่วน Smart City ในทัศนะของผู้ว่าฯ คือ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการทำหน้าที่ของเมือง และต้องตอบโจทย์ ‘คน’ เพราะเมืองไม่ใช่สิ่งปลูกสร้าง แต่เมืองคือคน ดังนั้นการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจึงต้องวาง ‘คน’ เป็นศูนย์กลาง (people-oriented mindset)
“หากมีแค่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่เมืองที่น่าอยู่ ต่อให้เทคโนโลยีล้ำแค่ไหน แต่ถ้าผู้คนไม่ได้คิดตาม ไม่ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสม สุดท้ายเมืองก็ไม่ฉลาด”
“หากจะตั้งคำถามของเมืองต้องมาจากคนที่เข้าใจปัญหาและมีคำตอบ โดยมีเทคโนโลยีมาช่วย ผมไม่ได้เชื่อเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) มากนัก แต่ผมเชื่อในเรื่องเทคโนโลยีเป็นผู้ช่วยที่ชาญฉลาด หรือ Intelligent Assistant (IA) ของเรา เมื่อเรามีปัญหา เราใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยตอบคำถามของเรา”
“การจะแก้ปัญหา เราต้องใช้เลนส์หลากสี (multi color lenses) ยกตัวอย่างเช่น การจะแก้ปัญหาอาชญากรรม ถ้าใส่แค่เลนส์เทคโนโลยี ก็จะแก้ด้วยการติดกล้อง CCTV อย่างเดียว แต่หากเราใช้เลนส์หลากสี เราจะมองปัญหาในหลายส่วน เช่น การแก้ปัญหาเชิงสังคม การศึกษา การหางาน การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไฟส่องสว่าง ที่พักอาศัย ซึ่งเทคโนโลยีอาจจะเป็นแค่หนึ่งในหลายๆ คำตอบ”
เมืองน่าอยู่ สร้างได้ด้วยความไว้วางใจ (Trust) และความโปร่งใส (Transparency)
ชัชชาติยังเผยสิ่งที่เขาค้นพบหลังทำงานเป็นผู้ว่าฯ มานาน 4 เดือนว่า ปัญหาสำคัญที่ฝังรากลึกในกรุงเทพฯ คือ ‘ความไว้วางใจ’ ระหว่าง กทม. และประชาชน ซึ่งรวมไปถึงปัญหาคอร์รัปชันและการทุจริต ถ้าไม่แก้ปัญหาเหล่านี้ เมืองก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
แล้ว กทม. จะแก้โจทย์นี้อย่างไร ชัชชาติมองว่าต้องเริ่มจากยึด ‘ประชาชน’ เป็นหลัก โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความคิดสร้างสรรค์ สร้างโอกาส ความร่วมมือ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยตอบโจทย์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเรียกความมั่นใจของประชาชนกลับคืนมา เช่น การจัดทำ Open Data ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลการทำงานของราชการและนำไปใช้ประโยชน์ได้
นอกจากนี้ กทม. ยังจับมือกับหน่วยงานต่างๆ พัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับ ‘คน’ และ ‘เมือง’ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบหมอทางไกล การปรับปรุงการขอใบอนุญาตทางระบบออนไลน์ One Stop Service การบริหารจัดการจราจรด้วยระบบอัจฉริยะ (ITMS) เพื่อบริหารจัดการจราจรทั้งโครงข่ายและกวดขันวินัยจราจร ส่วนนโยบายการปลูกต้นไม้ล้านต้นก็นำเทคโนโลยีมาติดตามความคืบหน้าโครงการ
นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) ประจำชุมชน ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล ให้ความรู้ คอยสอนเทคโนโลยี เพื่อให้คนใช้เทคโนโลยีเป็น ให้คนเข้าถึงการบริการของรัฐ การจัดกิจกรรมโรงเรียนวันเสาร์ (Saturday School) ให้ความรู้นอกเหนือจากหลักสูตร เพื่อให้เด็กรู้ลึกและรู้กว้าง
“เราต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนให้คนมีความคิดที่แตกต่าง ยอมรับ และพัฒนาก้าวไปด้วยกัน สุดท้ายพลังอยู่ที่คน คนคือเมือง ถ้าคนฉลาด เดี๋ยวเมืองฉลาด”
อ้างอิง: ปาฐกถาของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในงาน Thailand Smart City: Bangkok Model


