‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ’ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย ดูแลพื้นที่ภาคใต้ พร้อมด้วย ‘ศุภชัย ใจสมุทร’ ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรรภูมิใจไทย แถลงเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัคร สส. ภูเก็ต ทั้ง 3 เขต เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้ ได้แก่ ‘พลอยทะเล ลักษมีแสงจันทร์' อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เขตเลือกตั้งที่ 1 ‘ษณกร กี่สิ้น’ อดีตรองนายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง เขตเลือกตั้งที่ 2 และ ‘วิวัฒน์ จินดาพล’ อดีตสมาชิก อบจ.ภูเก็ต เขตเลือกตั้งที่ 3



โดย ‘ศุภชัย’ กล่าวว่า ทั้ง 3 คนดังกล่าว จะผนึกกำลังร่วมกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งที่จะมาถึงภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้ ขณะที่ ‘พิพัฒน์’กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยได้มีการทาบทามผู้สมัครจังหวัดภูเก็ตทั้ง 3 เขต ซึ่งนโยบายของพรรคก่อนหน้านี้คือ การแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด ในสมัย ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ เป็นรมว.คมนาคม แต่ว่าหมดวาระของรัฐบาลเสียก่อน
สำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พูดมาเสมอว่า หลังจากที่มีการถวายสัตย์ฯ และแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา จะถือว่าเป็นการนับหนึ่ง และจากนั้นอีก 4 เดือนก็จะยุบสภาตามที่ได้ลงนาม MOA กับพรรคประชาชน
ส่วนตัวได้รับการเสนอนายกรัฐมนตรี ให้มาดูแลกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวจังหวัดภูเก็ตกำลังถามหาในการแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดจะแก้ไขปัญหาอย่างไร หากได้ทำงานอย่างเต็มที่จะหารือกับระดับจังหวัด เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งหากได้รายละเอียดแล้วก็จะลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้จังหวัดภูเก็ต เป็นไปจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็ต้องดูว่า จะทำอย่างไร เพื่อให้จังหวัดภูเก็ตมีรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย และช่วยกันปั้นให้ภูเก็ตเป็น ‘ไข่มุกของโลก’



เมื่อถามว่าจะมีว่าที่ผู้สมัคร สส. จากภาคใต้มาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ พิพัฒน์ กล่าวว่า พรรคได้มอบหมายให้ดูแล14 จังหวัดภาคใต้ ซก่อนหน้านี้ได้เชิญเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมมือกัน ซึ่งขณะนี้ก็มีสมาชิกจากจังหวัดสงขลา มาร่วมงานเรียบร้อย ซึ่งในจังหวัดฝั่งอันดามัน วันนี้ จ.ภูเก็ตมาแล้ว 1 จังหวัด ส่วนจ.ตรังได้ฟัง ‘สมชาย โล่สถาพรพิพิธ’ อดีตสส.ตรัง ที่ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ว่า จะมีการหารือกับ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะเอาอย่างไรต่อไป ซึ่งก็มีโอกาสได้ไปหารือ โดยอย่างน้อยที่สุดเขต 1 และ 2 จังหวัดตรัง ขณะนี้ก็ตัดสินใจมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเฉพาะเขต 3 และ 4 ซึ่งต้องรอดูอีกครั้งว่า สมชายจะตัดสินใจประการใด
สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คาดว่าในเร็วๆนี้ หากแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จสิ้น ก็จะเห็นภาพว่า 3 จังหวัดภาคใต้ จะมีใครมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยบ้าง มั่นใจว่าในพื้นที่ทั้ง14จังหวัดภาคใต้ 14 จะมีข้อสรุปทั้งหมดภายในกลางเดือนต.ค.นี้
ส่วนที่เคยมีกระแสข่าวว่าตั้งเป้าพื้นที่ภาคใต้ 30 เก้าอี้ก็ยังยืนยันเช่นเดิม ถ้าหากว่ามีผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมือง หรือเพื่อนๆ ที่ขณะนี้อาจเป็นสมาชิกจากพรรคอื่น จะมาร่วมกันพัฒนา และเดินทิศทางเดียวกับพรรค เพราะภาคใต้ของเราขาดโอกาสในการพัฒนา อย่าลืมว่า ภาคใต้เป็นภาคหลังสุดที่จะได้ถนน 4 เลน ซึ่งขณะนี้ถนนสายหลักก็ยังมีถนน 4 เลนไม่ครบ
เมื่อถามว่าการเดินหน้าทาบทามผู้สมัครจะเป็นการขัด MOA กับพรรคประชาชนหรือไม่ เพราะดูเหมือนเป็นการเติมเสียง พิพัฒน์ กล่าวว่า ยืนยันว่า ไม่ได้ขัด MOA เพราะการเดินหน้าทาบทามผู้สมัคร เพื่อเตรียมการเลือกตั้งหลังยุบสภา หากไปเตรียมการหลังยุบสภา เกรงว่า จะไม่ทัน และเชื่อว่าทุกพรรคการเมืองขณะนี้ ก็กำลังเตรียมการเลือกตั้งเช่นกัน ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทย จะปฏิบัติตาม MOA อย่างแน่นอน และให้สมาชิกพรรคประชาชนสบายใจ



ด้าน ‘พลอยทะเล ลักษมีแสงจันทร์’ ว่าที่ผู้สมัครสส.ภูเก็ตเขต1 พรรคภูมิใจไทย อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังเปิดตัวกับพรรคภูมิใจไทยว่า ความตั้งใจที่ตัดสินใจมาร่วมกับพรรคภูมิใจไทย เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยลงเลือกตั้งสมาชิกเทศบาลตำบลวิชิต อ.เมืองภูเก็ตจ.ภูเก็ต และได้เห็นการทำงานของพรรคภูมิใจไทย ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งการมอบวัคซีนและการทำภูเก็ตแซนบ็อก ที่ทำได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตที่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งการทำงานของพรรคภูมิใจไทย ในช่วงนั้นถือว่าทำได้ดีมาก จึงเป็นสิ่งที่ประทับใจในตัวพรรค จึงทำให้ตัดสินใจย้ายมา
เมื่อถามว่าปัญหาภายในพรรคประชาธิปัตย์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ย้ายมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ พลอยทะเล กล่าวว่า ส่วนหนึ่งก็ใช่ เพราะการที่จะทำงานการเมืององค์กรต้องเข้มแข็ง การตัดสินใจย้ายมาเพื่อทำงานต่อให้กับประชาชนในพื้นที่ต้องอยู่ในองค์กรที่สามารถสนับสนุนตอบโจทย์ประชาชนได้ในการแก้ปัญหาต่างๆจึงต้องเป็นพรรคภูมิใจไทยในการแก้ปัญหา เป็นทางเลือกให้กับตนในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านได้ส่วนกระแสการตอบรับของประชาชนในพื้นที่นั้น เป็นไปในหลายทาง แต่ก็มั่นใจการตัดสินใจของตนเอง หลายคนก็ยังสนับสนุน ไม่ว่าจะไปสังกัดพรรคใด