'อนุทิน ชาญวีรกูล' นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
โดยช่วงเช้า เวลา 08.30 น. นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขับเคลื่อนแนวคิดหลัก 'Inclusivity and Sustainability' ของการเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซีย พร้อมทั้งเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลอาเซียน (ASEAN Prize) ก่อนร่วมลงนามเอกสารเพื่อรับติมอร์-เลสเตเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการ

จากนั้น เวลา 09.45 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการพบหารือทวิภาคีกับ 'อันโตนิอู กุแตเรช ' เลขาธิการสหประชาชาติ และพบหารือทวิภาคีกับ 'แฟร์ดีนันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส จูเนียร์' ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในเวลา 10.20 น. ตามลำดับ
หลังจากนั้น เวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ (Plenary) และเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบพิธีสารแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ฉบับที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงการขับเคลื่อนตลาดการค้าเสรีในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

โดยเวลาประมาณ 12.00 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา 'โดนัลด์ เจ ทรัมป์' ซึ่งจะเป็นโอกาสในการผลักดันประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านการค้า และความมั่นคง รวมถึงการปราบปรามสแกมเมอร์
โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมลงนามถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ก่อนเริ่มภารกิจในช่วงเช้า 'อนุทิน' ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุสาระสำคัญเกี่ยวกับภารกิจการลงนามสันติภาพ แนวทางการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา โดยหยิบยกเรื่องความกังวลการเจรจาครั้งนี้ว่าทำให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่

โดยยืนยันว่า ปฏิญญาทั้ง 4 ข้อ ไม่มีข้อใดทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ซึ่งไม่ใช่สนธิสัญญา จึงไม่ต้องขอการรับรองจากรัฐสภา แต่รับรองจาก ครม. แล้ว คือ 1. การถอนอาวุธหนักจากแนวชายแดน 2. การเกิดวัตถุระเบิด 3. การร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมสแกมเมอร์ และ 4. หาแนวทางการบริหารพื้นที่ทับซ้อนรวมร่วมกัน
ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครแม้แต่คนเดียว ประเทศไทยรักสงบ อย่างเพลงชาติระบุ ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด ซึ่งไทยยึดมั่นในกรอบนี้มาตลอด จึงขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไทย กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศทำงานอย่างหนัก ขอให้มั่นใจ พร้อมหยิบยกประสบการณ์การเจรจาตั้งแต่ทำงาน ส่วนตัวเห็นว่าปฏิญญาที่จะลงนามในวันนี้ ไม่เห็นจุดใดที่จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ท่ามกลางสักขีพยานจาก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ยังย้ำว่า การดำเนินการของรัฐบาล มองเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ทำให้ประเทศไทยรักษาเกียรติภูมิ รักษาอธิปไตย รักษาดินแดน และยืนยันการเจรจาเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่เป็นความจริง แต่ตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่าลิดาร์ เมื่อนำไปสู่การเจรจาปักเขตแดนจนครบ ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว จะทำให้ประเด็นแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หมดไปโดยปริยาย จะใช้เจรจาใช้หลักความเป็นจริงโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้มากที่สุด


