บรรยากาศในการประชุมรัฐสภา วาระการแถลงนโยบายของ 'อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งหนึ่งในจุดสนใจของสังคมได้จับจ้องไปที่ท่าทีของ 'อดีตรัฐมนตรี' และ 'แกนนำการเมือง' ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต่อการกลับมาทำหน้าที่เป็น 'ฝ่ายค้าน' ในสภาผู้แทนราษฎร

โดยเริ่มจาก การแสดงท่าทีของ 'พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง' สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ได้ลุกอภิปราย กล่าวถึงการออกนโยบายของ 'รัฐบาลอนุทิน' ว่าจากนโยบายที่มีการแถลงเหมือนจะอยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ระบุว่าจะอยู่ในอำนาจแค่ 4 เดือน จึงไม่ต่างอะไรกับ 'นโยบายขายฝัน'

พร้อมเน้นย้ำว่าสิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ คือการดูแลพี่น้องประชาชน และการยึดมั่นต่อหลักยุติธรรม โดยเฉพาะกับกรณีที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเรื่องคุณสมบัติของรัฐมนตรีหลายคนที่ดูไม่โปร่งใส รวมถึง 'คดีเขากระโดง' และ 'คดีฮั้วสว.'

ที่แม้น 'นายกฯ' และ 'รองนายกฯ' (บวรศักดิ์ อุวรรณโณ) จะออกมาแถลงยืนยันว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมโดยไม่แทรกแซง แต่ก็ยังอยู่ในกระบวนการที่มีข้าราชการหลายกระทรวงเกี่ยวข้อง ดังนั้นจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งคัด โดยการอภิปรายของ 'ทวี' มีการประท้วงจาก 'สส.ภูมิใจไทย' อยู่เป็นระยะๆ ที่ย้ำว่า การอภิปรายของผู้อภิปราย ไม่ได้อยู่ในนโยบายของรัฐบาล

ขณะที่ 'วราวุธ ศิลปอาชา' สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เริ่มกล่าวอภิปรายว่า “ได้ฟังสิ่งที่นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล พี่ชายสุดที่รักของผมแถลงไปแล้ว"

ก่อนจะกล่าวว่า ส่วนตัวเข้าใจว่าว่าทำไมนโยบายถึงมีไม่มาก และเป็นนโยบายที่สั้น แต่ส่วนตัวเชื่อว่าด้วยนโยบายของรัฐมนตรีและนายกฯ สามารถที่จะวางแผน วางโครงสร้างให้กับประเทศผ่านการแก้กฎหมาย และวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับประเทศไทยในอนาคตได้อย่างมั่นคง

ขอแนะนำนายกฯ ให้จัดทำแผนเผชิญวิกฤตในหลายค้าน 'แบบไม่แยกส่วน' อาทิ ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต้องมีความเชื่อมโยง บูรณาการกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งการเขียนนโยบายที่ไม่ครอบคลุมทุกกระทรวง (อย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้) จะทำให้รัฐมนตรีบางกระทรวง ทำงานได้ลำบาก

พร้อมยืนยันว่า 'พรรคชาติไทยพัฒนา' ไม่สนับสนุบสนุนนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจน ด้วยการแจกอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาคุณภาพของประชาชนในทุกช่วงวัย ต้องให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหา สาเหตุของความอยากจน การแก้ไขปัญหาโดยที่มีภาครัฐเป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนาศักยภาพของพี่น้องประชาชนในหลายๆ มิติ

ส่วนประเด็น 'การแก้ไขรัฐธรรมนูญ' วราวุธ ระบุว่า พรรคชาติไทยก่อนที่จะมาเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา ในปี 2538 'บรรหาร ศิลปอาชา' หัวหน้าพรรคชาติไทยในขณะนั้น ได้ฝากมรดกชิ้นสำคัญให้พี่น้องประชาชนคนไทยคือ รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดของประเทศไทย รัฐธรรมนูญดังกล่าวมีที่มาจากการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่ครอบคลุมพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม

มีทั้งการคัดเลือกและการเลือกตั้งจากทุกจังหวัด จึงเป็นเหตุให้เป็นรัฐธรรมนูญที่มีความสมบูรณ์ที่สุด และอยากขอฝากนายกฯ ลองพิจารณาแนวทางที่พรรคชาติไทยในขณะนั้นได้ดำเนินการเอาไว้ เพื่อเป็นจุดเริ่มการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้มั่นคงของประเทศไทย
“อะไรที่ดีอยู่แล้วขอให้นายกฯทำต่อ อะไรที่จะต้องปรับแก้ ทำแล้วคนไทยดีขึ้นให้ทำเสีย ที่สำคัญ ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเวลา 4 ปี หรือ 4 เดือน”
— วราวุธ กล่าว

สำหรับ 'ชัยชนะ เดชเดโช' สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปราย โดยใช้ความเคลือบแคลงสงสัยส่วนตัว คิดเสมอว่ารัฐบาลนี้เปรียบเหมือน 'ผู้ป่วยโปลิโอ' นับตั้งแต่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ 'ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ' สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร บอกชัดเจนว่าไม่ได้เลือกนายกฯ มาบริหารราชการแผ่นดิน แต่เลือกมาตาม MOA เพื่อยุบสภาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ชัยชนะ กล่าวต่อว่า ได้เปิดอ่านนโยบาย 5 ด้าน 15 ข้อ ไม่มีสักข้อที่ระบุว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุบสภาภายใน 120 วัน แต่รัฐบาลพยายามเขียนนโยบายให้ดูดีวาดภาพเหมือน 'ผู้ชายที่หล่อแต่ป่วยอยู่ข้างใน'

ส่วนการตั้งรัฐมนตรีคนนอก ขอชื่นชมว่าเป็น 'ครม.หน้าตาดี' แต่บางคนก็เป็น 'ครม.สตั้นแมน' ที่ต้องหาคนมาทำหน้าที่แทน ดังนั้นรัฐบาลต้องสร้างความน่าเชื่อถือภายใน 4 เดือน พร้อมย้อนถามว่า นโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปประธรรมคืออะไร เพราะที่ผ่านมาคือ 'พลังดูด'
พร้อมอภิปรายโดยยกคำบาลี ไว้คำหนึ่งว่า 'สจฺจํ เว อมตา วาจา' ซึ่งชัยชนะ หมายความว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แล้วนายกฯ จะทำงานได้ดี


