‘อนุทิน’ แฉซ้ำ! เหตุถูกบีบพ้น ‘มหาดไทย’

30 ก.ย. 2568 - 05:26

  • ‘อนุทิน’ แฉซ้ำ! ถูก ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ บีบพ้น ‘มหาดไทย’ เหตุใกล้เลือกตั้งแล้ว ถามเอาอะไรมั่นใจว่าจะชนะ ในอดีตพ่อเคยคุม แต่แพ้ราบคาบปี 54

  • แจง MOA เพื่อแก้รธน.-ยุบสภา แต่บังคับการบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้

  • ลั่นวาจา! ไม่ใช้อำนาจแทรกแซง ‘ฮั้ว สว.-เขากระโดง’ แน่ จี้ถอนคำพูดเป็น ‘ผู้ต้องหา’ แต่ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับสว. ซัดกลับเหมือนชี้ทางไปนรก ปมโน้มน้าวสว. ร่วมแก้รธน.

‘อนุทิน’ แฉซ้ำ! เหตุถูกบีบพ้น ‘มหาดไทย’

การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มี มงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรี(ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ชี้แจงหลังถูกพาดพิงจากจิราพร สินธุไพร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ขอขอบคุณจิราพรที่เราเคยอยู่ในรัฐบาลเดียวกันมาก่อน ขอชี้แจงทีละประเด็นเพราะจิราพรพยายามที่จะใช้วาทะกรรม ที่ผ่านมาชื่นชมมาโดยตลอด เวลาชี้แจงต่อรัฐสภา และเมื่อจิราพรพูดความจริงจะน่าเชื่อถือมาก แต่เมื่อพูดเท็จเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขาดความมั่นใจ จิราพรเริ่มมาด้วยคำว่า พยายาม ทำให้เห็นว่า กับผู้นำกัมพูชาน่าจะรู้อะไรกัน เพราะผู้นำกัมพูชาเคยกล่าวไว้ว่า จะเปลี่ยนรัฐบาลใน 3 เดือน ซึ่งจริงๆ ไม่รู้จักผู้นำกัมพูชาในทางส่วนตัวเลยสักคนเดียว พึ่งเคยพบกับสมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากได้ติดตามแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นไปเยือนกัมพูชา เมื่อเดือนเมษายน 2568 และได้ปฎิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรี ซึ่งเป็นองค์ประกอบของคณะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ที่เป็นส่วนตัว ทั้งนี้ จิราพรบอกว่าคงมีการตกลงอะไรกันมาก่อนเบื้องหลังหรือไม่ ขอยืนยันว่า ไม่มี เต็มที่คือเพื่อนที่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจอะไรในรัฐบาลแห่งนั้น

“ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล มีแต่เฟรนด์ มีแต่เพื่อน และไม่เคยได้พูดถึงเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน หรือการเสนอแนะอะไรที่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว”

อนุทิน กล่าว

อนุทิน กล่าวว่า ยังรู้สึกตกใจ เมื่อตอนกลับจากการติดตามแพทองธาร เพื่อนๆ ของอนุทินที่รู้จักกันได้โทรศัพท์มาบอกว่า รู้หรือไม่ที่เขาไม่ให้เข้าไปในที่ประชุมหลายๆ ที่ เพราะมีการไปแจ้งกับผู้นำเขาว่า ไม่ต้องคุยอะไรกับอนุทินมาก เพราะจะมีการปลดออกจาก มท.1 อยู่แล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับทราบมา แต่ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะข้อมูลที่จะเชื่อมากที่สุดก็ต้องเป็นข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น คือแพทองธาร แต่ในที่สุดในวันหนึ่งก็ได้รับแจ้ง เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ว่า พรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และขอให้อนุทินไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีไปว่า ถ้าแบบนี้เปรียบเสมือนข้อเสนอที่ต้องการให้อนุทินปฏิเสธ ขอให้พูดตรงๆ ว่าให้อนุทินออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่นายกฯ รักษามารยาทมาก เพราะบอกว่า ไม่ใช่อยากให้อยู่ แต่ไม่ให้อยู่มหาดไทย ต้องไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้ถามว่าเหตุใดต้องให้ไปอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข อนุทินทำอะไรผิด และคิดว่าเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในรัฐบาลของนายกฯ ที่ยืนอยู่เคียงข้างนายกรัฐมนตรีในทุกๆ ขณะ ไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้ายของนายกฯ ปกป้อง ให้ข้อเท็จจริง เมื่อนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ทราบดี แต่นายกฯ บอกว่า ใกล้เลือกตั้งแล้ว เพื่อไทยต้องได้กระทรวงมหาดไทย ซึ่งก็ถามไปว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เชื่อว่าการได้กำกับกระทรวงมหาดไทยจะชนะการเลือกตั้ง

anutin-parliament-jirporn-30sep25-SPACEBAR-Photo01.jpg

อนุทิน กล่าวต่อว่า คุณพ่อของอนุทินเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อ 10 กว่าปี และเป็นประมาณ 2 ปีกว่า แต่ในการเลือกตั้งก็แพ้พรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบ ในปี 2554 ดังนั้นเหตุใดจึงคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้มีคำตอบให้ ซึ่งคำตอบที่ได้รับคือจะเอากระทรวงมหาดไทยคืน ทั้งนี้ เชื่อว่าตัวของแพทองธาร ไม่ได้พูดจากความต้องการภายในใจของนายกฯ เอง ต้องมีคนบอกให้นายกฯ พูด เพราะในที่สุดเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีการยืนยันว่าไพ่ใบสุดท้ายคือ “คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข”

ทั้งนี้ ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีชี้แจง จิราพรได้ทำการประท้วงนายกรัฐมนตรีว่า ได้เล่าซีนดรามา ระหว่างตัวของนายกฯ กับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งไม่ได้มีโอกาสที่จะมาชี้แจง

anutin-parliament-jirporn-30sep25-SPACEBAR-Photo04.jpg

อนุทิน ได้กล่าวสวนว่า ไม่ได้ดรามา แต่เล่าถึงความจริง ท่านต่างหากที่ไม่ได้พูดความจริง และอย่ามาบอกว่าเป็นดรามา เพราะท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะอนุทินอยู่ตรงนั้น จะให้เอาความจริงมายืนยันกันตรงนี้ก็ได้ และท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้น จะมาบอกดรามาได้อย่างไร

anutin-parliament-jirporn-30sep25-SPACEBAR-Photo03.jpg

จากนั้น นายกฯ ได้ชี้แจงต่อว่า สุดท้ายก็ได้รับการยืนยันจากเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาหาอนุทินถึงที่กระทรวง แล้วบอกว่า ต้องเป็นไพ่ใบสุดท้ายซึ่งวันนั้น ได้ฝากให้ไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยขอถอนตัว และหลังจากวันนั้นมีความบังเอิญเหมาะเจาะ เพราะมีเรื่องคลิปเสียงอังเคิลออกมาพอดี ยิ่งทำให้การมีความมั่นใจในการตัดสินใจถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นเรื่องของบ้านเมือง และพรรคภูมิใจไทยเห็นว่า มีความเสียหาย รัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศ และเป็นเรื่องที่ไม่ควรบังเกิดขึ้น ในขณะที่เป็นรัฐบาลกำลังบริหารประเทศอยู่ ซึ่งยืนยันว่า เป็นเหตุผลที่เราถอนตัวออกมาไม่มีเหตุผลอื่น หากถามว่ามีเหตุการณ์ใดที่เป็นเรื่องพิสดารผิดปกติหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มี และมาทำหน้าที่ฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลในขณะนั้นที่บริหารประเทศอยู่ น่าจะไม่ไหว ประชาชนขาดความเชื่อมั่น เกียรติภูมิอธิปไตยของประเทศได้รับความเสียหาย ดีที่สุดคือการพยายามให้ยุบสภาดีกว่า ปรากฏว่า หลังจากนั้นไม่นาน มีการร้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ และนายกรัฐมนตรีถูกสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ เราเชื่อว่า ไม่มีคนยุบสภา ทั้งนี้ ในการพูดคุยกับพรรคประชาชน เขาไม่มีแคนดิเดตนายกฯ จึงคิดหาวิธีคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน จึงเป็นที่มาของการทำข้อตกลง MOA ไม่มีอะไรพิสดาร ไม่ได้แอบเซ็นในห้องผู้นำฝ่ายค้านฯ ซึ่งมีเงื่อนไขต้องรับการเป็นรัฐบาลเสี่ยงค่อนข้างน้อย และเข้ามาเพื่อยุบสภาภายใน4 เดือน รวมถึงการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดไว้ในข้อตกลง และดำรงความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยพรรคประชาชนจะกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ทำวิธีการใดๆ ที่ทำให้เกิดเสียงข้าง การทำ MOA ทำระหว่างประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้ผูกพันทั้งรัฐบาล แต่เมื่อเรามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจะมีการรักษาสัญญา คือ หลังวันที่ 1 ตุลาคม นับไปอีก 4 เดือน ไม่เกิน 31 มกราคม จะทำการยุบสภาฯ วันที่ 14-15 ต.ค. พรรคภูมิใจไทยจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องถามว่า ไม่ตรงกับ  MOA อย่างไร ต้องถามว่าพรรคภูมิใจไทยได้สส. เพิ่มหรือไม่กับการจะดึงไปดูด สส.จากพรรคพวกท่านมา มีแต่พรรคภูมิใจไทยที่ถูกดูดจากพรรคพวกท่าน แต่โชคดีที่เขากลับตัวทันและบอกว่าไม่ไปขอกลับมาดีกว่า

อนุทิน ยอมรับว่า พรรคภูมิใจไทยมีสส. เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดศรีสะเกษ ทั้งนี้ MOA จะมาบังคับในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ แต่มากำหนดให้รัฐบาลดำเนินการคือ เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภาฯ ทั้งนี้ อนุทินมาเป็นนายกรัฐมนตรี อำนาจยุบสภาไม่ได้อยู่ที่รองนายกรัฐมนตรี แต่อำนาจอยู่ที่อนุทิน จึงต้องทำตามข้อตกลงที่ทำไว้อย่างเปิดเผย โดยพี่น้องประชาชนได้รับทราบอยู่แล้ว ดังนั้นควรต้องอ่าน MOA ให้เข้าใจบริบทว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือความวิจิตรพิสดารใดๆ ยืนยันว่า รัฐบาลนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยระบอบประชาธิปไตย และตนได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 313 เสียง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่ได้อภิปรายมา ที่ต้องการให้อนุทินลุกขึ้นยืนพูด อนุทินก็ยืนขึ้นพูด ส่วนให้คำมั่นสัญญาได้หรือไม่ว่า จะไม่ใช้อำนาจหน้าที่ไปกดดันสั่งการ ชี้แนะให้ข้าราชการประจำแนวทางในการทำเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่เช่น เขากระโดง ฮั้ว สว. เรื่องนี้อยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หากมีปัญหาซึ่งการได้มาของสว. กกต.จะเป็นผู้ดำเนินการ

“มีแต่รัฐบาลของท่าน ที่พยายามสั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอดำเนินการ และไปติดที่ข้อกฎหมาย และสุดท้ายคนที่จะดำเนินการคือ กกต. ไม่ว่าท่านจะพยายามมส่งผู้แทนไปในคณะกกต. ท่านทำได้ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมาย เช่นเดียวกับเรื่องเขากระโดง ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยออกมาชี้แจงแถลงแล้ว ซึ่งที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยใจร้อนเอง เข้าไปวันแรก บอกวันที่ 2 สิงหาคม 2568 จะยึดที่ดิน ซึ่งเป็นการทำงานเช่นเดียวกับจิราพร คืออ่านอะไรไม่ได้ศัพท์ อ่านเร็วๆ และคิดว่าตัวเองเก๋า แล้วไปสรุปทุกเรื่องหมด สุดท้ายข้าราชการการกระทรวงมหาดไทย ทั้งปลัด อธิบดีกรมที่ดินที่ท่านตั้งขึ้น รวมถึงคณะกรรมการ แถลงว่า 2 อดีตรัฐมนตรีพูดเร็ว ไม่ตรงมติคณะกรรมการ ซึ่งถามว่าท่านจะมาโทษอะไรผม คนที่ใช้อำนาจหน้าที่กดดันคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้ง 2 คน ทั้งนี้ ต้อนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 1 เดือน และเข้าไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อไปทักทายข้าราชการยังไม่มีการสั่งการอะไร และไม่มีความกังวลที่จะสั่งการ เพราะผมรู้เรื่องดี เนื่องจากเคยทำงานอยู่มา 2 ปี รู้ว่าทุกอย่างต้องทำตามกฏหมาย”

นายกฯ กล่าว

อนุทิน กล่าวว่า เคยทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงกระทรวงมหาดไทย ในช่วงที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ดำเนินการตามกฏหมายทางมระเบียบทุกอย่าง ที่กระทรวงคมนาคมเช่นเดียวกัน ซึ่งได้ทราบข่าวว่า ผู้ว่าการรถไฟฯ จะเร่งฟ้องเป็นรายแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการ ไม่อยากให้ฟ้องเหมารวม หากแปลงไหนผิดต้องยึดคืน และแปลงไหนถูกต้องคืนความเป็นธรรม ซึ่งหากอยากฟัง ก็พร้อมพูดให้ฟังอีกครั้งและท่านต้องจำได้ว่า อนุทินพูดแล้วว่า จะไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลทุกกระทรวงในรัฐบาล ไปให้พวกเขาช่วยใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย

นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า จิราพรต้องถอนคำพูด เพราะอนุทินไม่ใช่ผู้ต้องหา ยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาด้วย ชอบใช้วาทกรรมให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า “นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ต้องหาของดีเอสไอ” ขอให้เรียกอธิบดีเอสไอมาตรงนี้ และให้ถามว่า อนุทินเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ พร้อมถามด้วยว่า กล้าหรือไม่ ซึ่งหากเขาบอกว่า ไม่ใช่ผู้ต้องหา ต้องไปแถลงให้อนุทินด้วยว่า ไม่ใช่ เป็นการพูดผิด เพราะอนุทินเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ก็ให้ความร่วมมือตามกฏหมายทุกอย่าง ทำหนังสือชี้แจง ตั้งทนายความขึ้นมาต่อสู้คดี ซึ่งหากอนุทินผิด ก็มีกระบวนการที่ต้องลงโทษอยู่แล้วแต่ตอนนี้ยืนยันว่ายังไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหา เป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้นการที่มาพูดในสภาฯ ว่า อนุทินและสว. เป็นผู้ต้องหาเป็นคำพูดที่ผิด และสว.ก็ยังไม่ได้มีใครที่เป็นผู้ต้องหาแม้แต่คนเดียว โดยมีสถานะเช่นเดียวกับอนุทิน คือเป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และดำเนินการตามกฎหมายมาตลอด

anutin-parliament-jirporn-30sep25-SPACEBAR-Photo02-1.jpg

อนุทิน กล่าวว่า ไม่รู้ว่าท่านวางยาอนุทินหรือไม่ ให้ไปบอกสว. ให้มาแก้รัฐธรรมนูญ และต้อนรับรัฐธรรมนูญ ซึ่งท่านกำลังชี้ทางไปนรกให้อนุทิน จะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะห้ามชี้นำ และห้ามที่จะไปโน้มน้าว สส.และสว. เป็นการผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งท่านกำลังประสงค์ร้าย ให้ทำผิดรัฐธรรมนูญแล้วมาอภิปรายอีก ขอยืนยันว่า เรื่องนี้ทำไม่ได้ เป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่ใครอยากแก้ไขก็ทำหาก ไม่เห็นด้วยก็ไม่ทำ และส่งขึ้นไปตามกระบวนการและสุดท้ายอีก 4 เดือนจะเป็นการชี้ชะตา รับรองว่า 31 มกราคม 2569 ยุบสภาฯ แน่ และอาจเร็วกว่านี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องยุบสภาฯ ดังนั้นไม่ต้องกังวล และใน 4 เดือนนี้ คนจะมาชี้ชะตาพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องรอวานซืนนี้ชี้ชะตาทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย

อย่างไรก็ตาม แนนได้ทำการประท้วงและขอให้จิราพรถอนคำพูด “ผู้ต้องหา” ซึ่งมงคลได้ขอให้จิราพร ถอนคำพูด พร้อมระบุได้ว่า ในนามสว.ก็เช่นเดียวกัน ยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา จากนั้น จริราพร ได้ถอนคำพูด “ผู้ต้องหา” เปลี่ยนเป็นผู้พัวพันและสอดที่จะเข้ามายุบคดีหรือไม่

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์