อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้ส่งรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณสมบัติทุกครบทุกคนแล้ว โดยยังไม่ได้ระบุตำแหน่ง ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ส่งไปแล้ว พร้อมหัวเราะ และบอกว่า “ส่งเกินด้วย” ซึ่งคุณสมบัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ต้องเป็นคนยุติธรรม พร้อมยอมรับว่าได้ทาบทามพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ และได้เชิญมาพูดคุยที่พรรคภูมิใจไทย ว่าท่านมีแนวทางดำเนินการอย่างไร เพราะวันพรุ่งนี้จะต้องเดินทางไปประชุม จีบีซี ที่กาะกง
ส่วนเหตุผลที่เลือกพล.อ.ณัฐพลนั้น อนุทิน กล่าวว่า เพราะต้องการให้งานของกระทรวงกลาโหม สืบเนื่องต่อไป ผู้สื่อข่าวจึงถามว่า ไม่เปลี่ยนม้ากลางศึกใช่หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า มีคำพังเพยอยู่ เรามองเรื่องประเทศชาติเป็นสำคัญ แต่เราอาจจะมีแนวทางใหม่ให้ท่าน เพราะที่ผ่านมาเห็นท่านบ่นๆ ว่ามีข้อจำกัดหลายเรื่อง จึงต้องทลายข้อจำกัดก่อน จะได้ทำงานสะดวก และสิ่งสำคัญที่จะต้องเรียนพล.อ.ณัฐพลนำไปเป็นส่วนประกอบสำคัญในการประชุม วันพรุ่งนี้ คือ ต้องหาทุกวิถีทาง ให้คนไทย หรือแม้กระทั่งคนกัมพูชา สามารถทำมาหากินค้าขาย ทำให้เศรษฐกิจของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ กลับมาเป็นเหมือนเดิม ส่วนการทหารก็ว่ากันไป

เมื่อถามว่า เมื่อมีคณะรัฐมนตรีแล้วจะยกหูหา ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วยตัวเองหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า จะดำเนินการทุกช่องทาง ทางการทหารก็จะไม่มีลดราวาศอก เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ เรื่องนี้ชัดเจน ส่วนเรื่องการทูตการเจรจา เพื่อหาข้อยุติให้ได้ เราก็ใช้กระทรวงการต่างประเทศ ทหารก็ทำหน้าที่ไป กระทรวงการต่างประเทศก็ทำหน้าที่ไป ใช้องคาพยพทุกด้านที่จะทำให้ความสัมพันธ์2ประเทศ สู่จุดที่เป็นปกติ เหมือนก่อนที่จะมีปัญหาความขัดแย้ง
ส่วนเรื่องคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรีหากใครไม่ผ่านจะต้องหลีกทางเลยหรือไม่ อนุทิน หัวเราะ ก่อนที่จะบอกว่า ไม่ผ่าน ก็แต่งตั้งไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ที่มีการจับตา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นพิเศษ อนุทิน กล่าวว่า อย่าพึ่งระบุว่าเป็นคนใด เราระบุชื่อไม่ได้ ต้องตรวจสอบก่อน ชื่อตนเองก็ต้องถูกส่งไปตรวจสอบเหมือนกัน

เมื่อถามว่า อายุไขรัฐบาล มีเพียง 4 เดือน จะยึดหลัก อะไร ในการเลือกคนที่มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี อนุทิน กล่าวว่า ทำได้เร็วทำได้เลย ถึงต้องเลือกคนที่มีประสบการณ์ และจะสังเกตได้ว่าไม่ได้เชิญคนที่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ เข้ามาหลายตำแหน่ง แต่ต้องผสมทางการเมืองด้วย เพราะการเกิดขึ้นของรัฐบาลนี้ก็เกิดจากพรรคการเมือง เพราะเราชัดเจนว่า เข้ามา 4 เดือนยุบสภา เพราะฉะนั้นต้องตอบโจทย์ทางการเมืองด้วยเช่นกัน พยายามหาคนที่มีความรู้ความสามารถ เฉพาะด้านให้มากที่สุด โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ
เมื่อถามว่า ตอนนี้คนชมครม. เศรษฐกิจ อนุทินย้อนถามว่า แล้วชมคนตั้งด้วยหรือไม่ ก่อนจะยอมรับว่า ได้มีการทาบทาม ศุภจี สุธรรมพันธ์ นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติ เนื่องจากเข้ามาในช่วงสุดท้าย พึ่งส่งรายชื่อไปต้องรอการตรวจสอบ
ส่วนเหตุผลที่เลือก บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เข้ามาเป็น รองนายกรัฐมนตรีดูด้านกฎหมาย อนุทิน กล่าวว่า สมัยเข้ามาเป็นรัฐมนตรีครั้งแรก บวรศักดิ์เป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้โทรมาแจ้งว่า ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ ก็เคารพนับถือท่านมาตั้งแต่ตอนนั้น และจะให้มาทำเรื่องรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งบวรศักดิ์มีส่วนในการยกร่างรัฐธรรมนูญ และที่ต้องย้ายทะเบียนบ้านไปจังหวัดบุรีรัมย์ หลังกำหนดในรัฐธรรมนูญว่า สส.บัญชีรายชื่อจะต้องอยู่ในพื้นที่ด้วย แต่ก็ได้มีการเตรียมพร้อมๆ ไว้ และที่มีหลายคนบอกว่า ย้ายไปบุรีรัมย์เพราะเกี่ยวข้องกับเขากระโดงไม่ใช่เลย แต่ย้ายไปเพราะเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่ได้ใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับนั้นก็ตาม แต่เราก็ต้องเผื่อไว้ก่อน จึงไม่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับเขากระโดง

เมื่อถามว่า การมีอายุเพียง 4 เดือนรู้สึกกดดันหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า ไม่มีอะไรกดดัน แต่กดดันตัวเองมากกว่า การทำงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบคือ แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ซึ่งเป็นความถนัดของตนอยู่แล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาก็ได้ทำหลายอย่าง และได้ประสานทุกกระทรวงร่วมกัน
ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ อนุทิน ระบุว่า จะให้เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ นั่งรองนายกฯ ควบกระทรวงการคลัง เพราะการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะต้องไปพูดคุยในเวทีโลก การสวมบทบาทรองนายกรัฐมนตรี เพิ่มโอกาสมากกว่าเป็นรัฐมนตรีปกติ แล้วการจะได้รับความน่าเชื่อถือจากนานาชาติจะเพิ่มมาอีกระดับหนึ่ง
เมื่อถามว่าจะนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อใด อนุทิน กล่าวว่า ทันทีที่ตรวจสอบประวัติเสร็จสิ้น ตอนนี้ก็พร้อมที่จะดำเนินการต่อ
อนุทิน ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องดดีเขากระโดงหรือไม่ โดยย้ำชัดว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ยุติธรรม ไม่กลั่นแกล้งใคร ไม่มีการก้าวก่าย มีแต่จะไปเร่ง หากพบว่า มีความผิด ก็ต้องยึด หากไม่ผิดก็ต้องสรุปให้ชัดว่าไม่ผิดอย่างไร และแม้จะต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรมก็ต้องดำเนินการ พร้อมยืนยันว่า ไม่มีการแทรกแซง ก้าวก่ายเป็นอันขาด เพราะไม่มีเวลา ขอเอาเวลาไปทำอย่างอื่นให้ ขอไปดูแลประชาชนดีกว่า
ส่วนข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยจะต้องปรับทัพใหม่หรือไม่ อนุทิน ไม่ตอบคำถามนี้ บอกสั้นๆว่า ‘แหม ถาม’ ก่อนจะหัวเราะ แล้วเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที
นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงกระแสตอบรับที่ดีที่รัฐบาลใหม่ จะดำเนินการโครงการคนละครึ่ง โดยยอมรับว่า กระแสดี เพราะเราฟังประชาชน ทำเพื่อประชาชน ประชาชนได้ประโยชน์ เราจะไปก็อปปี้ใคร เราก็จะทำ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ต้องเดินต่อไป แม้ว่าจะเกิดในรัฐบาลทักษิณ รวมถึงโครงการคนละครึ่งมาจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และอนุทินเป็นรัฐมนตรีสมัยนั้น อนุทินก็ยกมือสนับสนุน
เมื่อถามว่า กระแสข่าวคนละครึ่งจะเป็น 50:50 หรือจะเป็นแบบพลัส อนุทิน ยอมรับว่า เมื่อคืนวันที่ 8 ก.ย.จากที่ได้คุยกับ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รมว.คลัง หากไม่กระทบวินัยการเงิน หรืองบประมาณ และช่วยเหลือประชาชนได้ แต่จะออกไปรูปในรูป 60:40 เพื่อจูงใจกลุ่มคนที่เสียภาษี ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เสียภาษีอยู่แล้ว แต่หากเป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เสียภาษี ก็ 50:50 ถือเป็นไอเดียที่เอกนิติเสนอซึ่งก็เห็นด้วย และสั่งให้ไปพิจารณาเพิ่มเติม แต่ต้องไม่ผิดรัฐธรรมนูญ กฎหมาย งบประมาณ และไม่เสียวินัยการเงินการคลัง พร้อมยอมรับว่า โครงการจะทันในกรอบ 4 เดือน และ เอกนิติก็แจ้งมาว่า งบประมาณมีดำเนินการ พร้อมเปรียบว่า กระเป๋าก็ยังมีเหมือนเดิม
เมื่อถามว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทของรัฐบาลเพื่อไทย จะสานต่อหรือไม่ นายกฯ กล่าวต่อว่า โครงการนี้เป็นประโยชน์แต่ต้องมาดูว่า บางโปรเจ็ค ทำแล้วขาดทุน หรือต้องไปซื้อมาก็ไม่ได้ พร้อมย้ำว่าต้องรักษาวินัยการเงินการคลัง และโครงการต้องอยู่รอดและพึ่งพาตัวเองได้
“ไม่ใช่ 20 บาทแล้ว มานั่งหาส่วนต่างทุกปี ตั้งเป็นงบประมาณ มันไม่ใช่ หรือไปซื้อกิจการจากลงทุนมา ก็ไม่ใช่ เพราะคนที่ลงทุนก็ต้องเสี่ยง”
— อนุทิน กล่าว
อนุทิน ยังกล่าวถึงปัญหาน้ำท่วม ที่ประชาชนสะท้อนว่า ต่างจังหวัด และกรุงเทพยังท่วมซ้ำซาก ว่า ตอนนี้กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ที่จะต้องมีแผนเผชิญเหตุ โดยเราให้การสนับสนุน เน้นในเรื่องของการเยียวยา เพราะเวลาเราน้อย เรื่องนี้เป็นหลัก ส่วนการวางยุทธศาสตร์ต่างๆ เป็นเรื่องของหน่วยงานประจำที่เกี่ยวข้องที่จะต้องนำเสนอขึ้นมาให้กับรัฐบาล

จากนั้น ในเวลา 13.59 น. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางเข้าพรรคภูมิใจไทย ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี โดยจะหารือถึงกรอบแนวทางการทำงาน โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังที่ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวปรากฎชื่อในโผอนุทิน 1 นั่ง ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม’ ในสัดส่วนคนนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

ด้านอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO ปตท. ที่มีชื่อเป็นรมว.พลังงานในรัฐบาลอนุทิน ได้เดินทางมาพรรคภูมิใจไทยด้วย พร้อมกล่าวถึงปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลว่า สิ่งที่เคยนำเสนอในขณะนั้น เป็นการนำเสนอภายใต้บริบทที่ทั้ง 2 ประเทศ จะต้องไม่มีข้อขัดแย้งในเรื่องการแบ่งดินแดน หรือข้อพิพาทด้านเขตแดน ซึ่งจริงๆ การดำเนินการลักษณะนี้ มีการดำเนินการอยู่ระหว่างไทย-มาเลเซีย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพราะไทยกับมาเลเซีย ไม่ได้มีข้อขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดน หรือการแบ่งดินแดน วันนี้ทุกคนทราบดีว่า ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชายังตกลงกันไม่ได้ ยังมีประเด็นเรื่องการแบ่งดินแดน ดังนั้นเรื่องการบริหารจัดการพลังงานไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่างที่นายกฯ ได้กล่าวไว้ว่า เรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เราจะไม่ยอมเสียดินแดนประเทศไทยแม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียว เพราะฉะนั้นในปัจจุบันจะเป็นเรื่องการดำเนินการของฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายการต่างประเทศที่จะดำเนินการ ให้ได้ข้อยุติเสียก่อน จึงจะบริหารจัดการพลังงานได้
“ปัจจุบันสถานการณ์เรื่องการแบ่งเขตแดน ดินแดน ของไทยและกัมพูชายังไม่จบ ดังนั้น เรื่องการบริหารจัดการพลังงานจะไม่มีการเจรจาพูดคุย หรือดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องความมั่นคงของชาติ อธิปไตยของชาติ และดินแดนของชาติเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด”
— อรรถพล กล่าว
เมื่อถามว่า ถือเป็นการปิดประตูแนวคิด ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยระบุ จะแบ่งกัน 50:50 หรือไม่ อรรถพล กล่าวว่า ปัจจุบันจะไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าเรื่องเขตแดน ดินแดนจะมีข้อยุติ