อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าที่ทำการพรรคภูมิใจไทย เพื่อเข้าร่วมประชุมกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย และว่าที่รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เพื่อวางนโยบายของคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่จะแถลงต่อรัฐสภาต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผ่านมา บรรดาบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองและภาคเอกชนยังคงทยอยส่งดอกไม้อวยพรวันคล้ายวันเกิดอนุทิน อายุครบ 59 ปี

โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 59 ปีว่า ขอให้ประเทศชาติสงบสุข เจริญก้าวหน้า ประชาชนสามัคคี อยู่ดีกินดี ซึ่งเป็นคำขอมาโดยตลอด ไม่ใช่เพียงปีนี้เท่านั้น
สำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นปีครบรอบ 59 ปี อนุทิน กล่าวว่า คงแตกต่างจากทุกปี เพราะต้องทำงานหนักขึ้นหลายเท่าตัว แต่ก็จะทำอย่างเต็มที่ อย่างน้อยได้บอกไปแล้วว่า ไม่มีวันหยุด ก็ต้องไม่มีวันหยุดจริงๆ
จากนั้น นิพนธ์ บุญญามณี ได้นำดอกไม้มาอวยพรอนุทิน พร้อมกระซิบอวยพรว่า “4+4 นะครับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 4+4 เป็นโค้ดที่อาจหมายถึงการเป็นรัฐบาล 4 เดือน ที่จะอยู่ต่อไปอีก 4 ปี
นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีโผคณะรัฐมนตรี(ครม.) จะสามารถนำขึ้นทูลเกล้าได้เมื่อไหร่นั้นว่า คาดว่า เร็วๆ นี้ ซึ่งตอนนี้รายชื่อนำส่งไปประกอบและบางส่วนทยอยส่งกลับมาแล้ว ซึ่งการตรวจสอบต้องการทำให้เกิดความชัดเจน และไม่มีปัญหา โดยต้องส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า รายชื่อที่ส่งไปไม่มีปัญหา

ส่วนมีความกังวลในการเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ อนุทิน กล่าวว่า ไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่ตั้งไว้ ซึ่งก็เร่งถามไปที่เลขาคณะรัฐมนตรี และรัฐบาลที่ผ่านมา ได้สอบถามไปว่า หลังจากมีการประกาศโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีใช้เวลาเท่าไหร่ ในการแถลงชื่อคณะรัฐมนตรีเลขาธิการครม.ก็ได้ตอบกลับมาว่า “นี่ก็เร็วแล้ว” ซึ่งต้องยอมรับว่า ระยะภายหลังต้องมีการอิงในเรื่องคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องของจริยธรรม เราจึงต้องสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้มีอะไรขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ส่วนตอนนี้ชื่อของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมลงตัวแล้วหรือไม่ เพราะรัฐมนตรีคนอื่นมีการเปิดเผยชื่อออกมาหมดแล้ว อนุทิน กล่าวว่า เดี๋ยวขอรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย ย้ำว่าเปิดเผยหมดทุกอย่าง ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่ลงตัวหมดแล้ว และในส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อนุทิน ระบุว่า มีความจำเป็น แต่ส่วนจะเป็นใครขอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน
ส่วนที่พรรคประชาชนมีการตั้งคำถามว่า ชื่อของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีความสัมพันธ์กับทางจังหวัดบุรีรัมย์ อนุทินย้อนถามกลับว่า และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนปัจจุบัน มีความสัมพันธ์กับใครบ้างหรือเปล่า ก่อนย้ำว่าทุกคนก็มีความสำคัญ และความสัมพันธ์กันหมด ซึ่งต้องมีความรู้จักกันบ้าง รู้หน้าค่าตากัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นอดีตตำรวจ อนุทินไม่ตอบ ก่อนจะหัวเราะได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์ ก่อนจะหันมาพูดอีกว่า คนปัจจุบันเป็น ก่อนจะไม่ตอบว่าคนถัดไปเป็นหรือไม่
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสคัดค้านเรื่องการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ยังไม่เปิด เรารอฟังเสียงพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว ซึ่งคำว่า เปิดด่านจะต้องมีการทำข้อตกลงต่างๆ มากมาย ทั้งการเจรจา และทางการทหาร โดยจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยก่อน คือ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน และความปลอดภัยของประเทศ ซึ่งจะต้องไม่มีการยิงกัน หรือมีอาวุธมาจ่อกัน
อนุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อเราเข้าไปบริหารประเทศแล้ว ก็จะให้ข้อสั่งการหรือนโบบายให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลชุดใหม่ได้ไปดำเนินการ ทั้งการถอนอาวุธ และกับระเบิด เพื่อการสร้างความมั่นใจว่าเกิดความปลอดภัยกับผู้คนทั้งสองประเทศ ฉะนั้น กว่าเราจะไปถึงจุดนั้นยังอีกไกล แต่เราก็ต้องไปถึงจุดนั้น จะให้เราทะเลาะกับเพื่อนบ้านชั่วกัลปาวสานคงเป็นไปไม่ได้ และการจะใช้มาตรการรุนแรง โดยไม่มีการเจรจาเลย ซึ่งเมื่อถึงเวลาต่างคนต่างถือทิฏฐินั้น การเจรจาก็ไม่ไปถึงไหน จึงต้องใช้ทั้งศาสตร์ทั้งศิลป์ การพูดการทหาร การผ่อนคลาย และการกดดันต่างๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีโอกาสจะได้เห็นนายกฯ ไทยกัมพูชาเจอกันหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า การเจอกันไม่ได้หมายความว่า ต้องยอมกันหรือไม่ เพราะการเจอกันก็จะทำอาจทำให้บรรยากาศหลายอย่างหรือสิ่งที่พูดแล้วไม่เข้าใจกัน หาข้อสรุปบางอย่างได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียเปรียบในความเป็นนายกฯ ของไทย โดยเรื่องเสียดินแดนไม่ต้องมาพูดอยู่แล้ว เรื่องที่จะทำให้คนไทยเป็นอันตราย ก็จะไม่ให้เกิดขึ้น
“เป็นนายกฯ ประเทศไทยนะครับ ไม่ใช่นายกฯ ประเทศอื่น เพราะฉะนั้นต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย ของคนไทย เป็นประเด็นหลักอยู่แล้ว”
— อนุทิน กล่าว
ส่วนจะลงไปรับฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการเปิดด่านใช่หรือไม่ อนุทิน ร้องโถ่ พร้อมกล่าวว่า “เรื่องลงพื้นที่ มีใครสู้ผมได้ล่ะ” ซึ่งก็ลงพื้นที่มาตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่จนเขาเชิญออกจำไม่ได้หรือ “ขยันจนถูกไล่ออก”
ทั้งนี้ จะทันในระยะเวลา 4 เดือนหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า เรามีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ฉะนั้นตราบใดที่เรายังอยู่ในขอบเขตอำนาจที่เรามี เราก็ต้องใช้อย่างเต็มที่ไม่อยู่ในจุดนี้แน่นอน แต่จะใช้ได้ขนาดไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์
นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับว่าที่รัฐมนตรี เพื่อเตรียมจัดทำคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า เป็นการประชุมเพื่อจัดทำร่างนโยบายของรัฐรัฐบาล ใน MOA การยุบสภาคือ 4 เดือนหลังจากแถลงนโยบาย ฉะนั้นเราต้องการให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ทำนโยบายเตรียมพร้อมไว้ทันทีไม่ใช่เข้ามาแล้วไม่ทำนโยบาย เข้ามาปุ๊บมีนโยบายเตรียมพร้อม ทำหนังสือขอให้ประธานรัฐสภาเปิดประชุมเพื่อแถลงนโยบายและยุบสภาโดยเร็ว
สำหรับนโยบายเร่งด่วนใน 4 เดือน อนุทิน ระบุว่า ขอให้ทำนโยบายเรียบร้อยก่อน เตรียมไว้หมดแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ได้พูดเอาไว้ เช่น การการแก้ไขสถานการณ์ไทย-กัมพูชา การทำประชามติเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง
ทั้งนี้ การทำงานในช่วงระยะเวลา 4 เดือน ที่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้น เรามีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ตราบใดที่เรายังอยู่ในขอบเขตอำนาจที่มีอยู่ เราต้องใช้อย่างเต็มที่ แต่จะได้ถึงระดับไหน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยเฉพาะปัญหาชายแดน แต่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การนำสิ่งที่ประชาชนคาดหวังมาปัดฝุ่น เช่นโครงการคนละครึ่ง คุยไปคุยมาบอกว่าเอา ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่เป็นไรเพราะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน แต่คุยไปคุยมาว่าที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังก็บอกว่าถ้าจะขยับสิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพิ่มมากขึ้น มันจะมีเรื่องที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แต่โดยรวมประชาชนและประเทศชาติได้ประโยชน์ ถ้าเราเน้นกลุ่มคนที่อยู่ในระบบภาษี จะทำให้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสียภาษีและทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่ม
ส่วนใน 4 เดือนนี้การันตีผลงานรูปธรรมแน่นอนใช่หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า ผลงานการทำงานที่ผ่านมาก็มีผลงานเรื่อยๆ ส่วน MOA จะทำให้มีความกดดันในการทำงานหรือไม่นั้น MOA แปลว่าอะไร ใครไปเรียกก็ไม่รู้ จริงๆ ไม่มี MOA ขยายมาจาก MOU แปลว่า Memorandum of Understanding คือการทำความเข้าใจ ต้องมีการจดบันทึก แต่ MOA แปลว่าข้อตกลง Agreement ไม่ต้องมี MO มีแต่ A

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าข้อตกลงสามารถผ่อนปรนได้หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า เราทำตามให้มากที่สุด ง่ายดี ไม่ต้องเถียงกับใคร อย่างน้อยก็ทำตามข้อ 4 และ 5 ไม่พยายามทำตัวเป็นเสียงข้างมาก และไม่คิดจะทำอยู่แล้ว รับสภาพรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งคนที่เซ็นกับเรา ต่างคนก็ต่างรักษาสัญญา ทำให้รัฐบาลนี้เดินไปสู่วันที่ยุบสภาโดยเร็ว ตามข้อตกลงระบุว่า เริ่มนับ 4 เดือน หลังการแถลงนโยบาย ถ้ารอกระบวนการทูลเกล้าฯ และถวายสัตย์ปฏิญาณ 6 สัปดาห์ แล้วแถลงนโยบายแปลว่า เจตนารมณ์เราไม่ดี จึงทำเรื่องเสนอทูลเกล้าฯ เลยและร่างนโยบายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะนี้ทำกรอบใหญ่ก่อน และให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นมารับทราบด้วย ไม่ใช่ยัดเยียดเหมือนที่ผ่านมา เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีปากมีเสียงเลย เป็นนโยบายของพรรคแกนนำอย่างเดียวเลยมีปัญหาทำงานไม่มีความสามัคคี ดังนั้นตอนนี้เรามีเวลาน้อย และมีเจตนารมณ์ร่วมกัน ก็เป็นไปตามนั้น
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรอบระยะเวลาทำงาน 4 เดือน จะทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญทันหรือไม่ว่า ตามระบบทันอยู่แล้ว แต่ต้องปรึกษาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งเนื่องจากมีการยุบสภา ซึ่งหากทำประชามติให้ทันพร้อมยุบสภาจะทำให้ประหยัดงบประมาณด้วย และพอเป็นประชามติ รัฐบาลต่อไปเข้ามาก็จะใช้อ้างอิงเพื่อสามารถดำเนินเรื่องต่อไปได้
เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้ประชาชนแก้รัฐธรรมนูญได้โดยตรง อนุทิน กล่าวว่า อย่าพึ่งลงรายละเอียด ซึ่งได้เชิญบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ มาช่วยทำงาน แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้พูดไปอย่างนั้น แต่ตั้งใจเชิญนักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาช่วยทำงานในรัฐบาล