ถอดบทเรียนพิพาทไทย-กัมพูชา EP.3 ผบ.ทบ.จัดแถว 5 ทัพภาค ทัพ 1-3 นสศ. ถูกทั้งคน ถูกทั้งใจ แต่ระวังปลาผิดน้ำและม้าผิดตัวในทัพ 4

1 ก.ย. 2568 - 02:50

  • โผทหาร 68 ผบ.ทบ.จัดทัพ 4 ภาคและรบพิเศษทัพภาค 5 ค่อนข้างลงตัว เรียกได้ว่าถูกคนและถูกใจ

  • จับตาว่าที่แม่ทัพภาคที่ 4 ช่วงม้าตีนปลาย ลือหนักย้ายข้ามฟากภาคจากทัพภาค 2 ไปทัพภาค 4

  • ‘บิ๊กเล็ก‘ มั่นใจโผทหาร 68 ไม่สะดุดแม้การเมืองระส่ำ เตรียมส่งและทูลเกล้าฯตามขั้นตอน

ถอดบทเรียนพิพาทไทย-กัมพูชา EP.3 ผบ.ทบ.จัดแถว 5 ทัพภาค ทัพ 1-3 นสศ. ถูกทั้งคน ถูกทั้งใจ แต่ระวังปลาผิดน้ำและม้าผิดตัวในทัพ 4

โผทหารปี 2568 ที่มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 วันเดียวกันกับวันพ้นจากหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร แม้ผบ.เหล่าทัพทั้งหมด รวมทั้งปลัดกลาโหมจะได้ลงนามรับรองบัญชีโยกย้ายของทุกเหล่าทัพแล้ว 

แต่ล่าสุด พล.อ.ณัฐพล นาควาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังได้ป้องกันความผิดพลาด ด้วยการส่งหนังสือไปหารือคณะกรรมการเลือกตั้ง หรือ กกต. ถึงอำนาจของรัฐบาล ในการทูลเกล้าฯ บัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารชั้นยศนายพล 

หากไม่มั่นใจในขั้นตอนที่ถูกต้อง พล.อ.ณัฐพล อาจให้ปลัดกลาโหม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ เป็นประธานจัดการประชุมอีกครั้ง เพื่อป้องกันความผิดพลาด 

กระนั้น แม้จะต้องดำเนินการ เพื่อความรอบคอบ และป้องกันการร้องเรียน แต่รายชื่อในบัญชีโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหม ปี2568 ก็ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะรายชื่อของแต่ละเหล่าทัพ รวมทั้งสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม 

พล.อ.ธราพงษ์ มาละคำ (ตท.24) เป็นว่าที่ ‘ปลัดกระทรวงกลาโหม’

พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ (ตท.24) เป็นว่าที่ ‘ผู้บัญชาการทหารสูงสุด’ 

พล.อ.อ.เสกสรร คันธา (ตท.26) เป็นว่าที่ ‘ผู้บัญชาการทหารอากาศ’ 

พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ (ตท.24) เป็นว่าที่ ‘ผู้บัญชาการทหารเรือ’

ส่วนกองทัพบก พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ยังคงดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. เพราะเกษียณอายุราชการปี 2570 และเป็นปีแรกที่จะได้จัดโผนายพลเต็มมือ บัญชีโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลของกองทัพบกปีนี้…จึงน่าสนใจยิ่ง

น่าสนใจประการแรก คือ เมื่อพิจารณาจากโผกลางปีที่ผ่านมา ซึ่ง พล.อ.พนา ขยับเพื่อนเตรียมทหารรุ่น26 (ตท.26) เข้าไลน์ในตำแหน่งหลักเกือบทั้งหมด โผใหญ่รอบนี้ จึงน่าสนใจยิ่งว่า พล.อ.พนา จะขยับเพื่อน ตท.26 ขึ้นมาอีกสเต็ปหรือไม่ 

น่าสนใจประการที่สอง คือ การจัดทัพรอบนี้ต้องคำนึงถึงความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่หลายฝ่ายประเมินว่า จะยังเป็นเกมยาว พล.อ.พนา จะจัดวางขุนพลหลัก เพื่อรับมือสถานการณ์นี้อย่างไร 

ทั้งการจัดแถวกองทัพภาคที่2 ที่แม่ทัพกุ้ง พล.ท.บุญสินพาดกลาง เกษียณ

การเตรียมทีมหน่วยรบพิเศษ ทั้งกองพันจู่โจมของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษและกรม RDF ที่เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว 

น่าสนใจประการที่สาม คือ ชายแดนทางเหนือ และความร้อนแรงของสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งอยู่ในห้วงเวลาของการเตรียมเปลี่ยนผ่าน จากกำลังทหารหลักไปยังกำลังประจำถิ่น 

น่าสนใจประการสุดท้าย คือ ความร้อนแรงทางการเมือง ที่พร้อมจะปะทุ แตกหัก และบานปลาย การจัดวางขุนพลรอบนี้ จึงต้องพร้อมต่อการควบคุมสถานการณ์หากเกิดเหตุเกินคาดคิด 

ความน่าสนใจเรื่องเพื่อน ตท.26 

โผล่าสุดที่มีการลงนามกันไปแล้ว พล.อ.พนา ยังเลือกที่จะไว้ใจเพื่อนร่วมรุ่น ตท.26 ในตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง นัยว่า เพื่อความเสถียรในการบริหารกองทัพ และการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในกองทัพบก 

ในตำแหน่ง 5 เสือ และตำแหน่งหลักอื่นๆ พล.อ.พนา เลือกเพื่อนร่วมรุ่น ตท.26

เพื่อนรุ่ง พล.อ.ชิษณุพงศ์ รอดสิริ ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทบ. 

เพื่อนเต้ พล.อ.ณรงค์ฤทธิ์ คัมภีระ จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ.

เพื่อนปู พล.ท.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ ขยับจากรองเสธฯทบ.ขึ้นมาเป็น เสธฯทบ.รับผิดชอบงานด้านกองอำนวยรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. 

ซึ่งเท่ากับ 5 เสือ ทบ.จะมี ตท.26 ถึง 4 คน คือ ผบ.ทบ. ,รองผบ.ทบ. ,ผช.ผบ.ทบ., และเสธฯทบ.

มีเพียง พล.ท.อมฤต บุญสุยา (ตท.27) แม่ทัพภาคที่ 1 เพียงคนเดียวที่ขยับขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ. เพื่อรอลุ้นตำแหน่ง ผบ.ทบ.ในปี 2570 โดยมีคู่แข่งคนสำคัญ คือ พล.ท.ณรงค์ฤทธิ์ (ตท.26) ที่เกษียณปีเดียวกัน คือ ปี 2571 

ส่วนการจัดทัพในระดับแม่ทัพภาคทั้ง 5 ภาค คือ ทัพภาค 1 ทัพภาค 2 ทัพภาค 3 ทัพภาค 4 และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษนั้น 

พล.อ.พนา ใช้ทั้งหลักเกณฑ์เพื่อน หลักเกณฑ์ฝีมือ หลักเกณฑ์ความเหมาะสมต่อสถานการณ์ และหลักเกณฑ์สำคัญ คือ เสถียรภาพด้านอำนาจ ที่พร้อมจะเป็นเสาหลักค้ำยันสถาบันสำคัญของประเทศ 

ทัพภาค 1 ซึ่ง ตท.26 เป็นแม่ทัพมาแล้วถึง 2 คน คือ พล.อ.พนา และพล.อ.ชิษณุพงศ์ ปีนี้ถึงคิวส่งต่อให้ ตท.28 ที่รอลุ้นมาหลายรอบ 

ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ไม่น่าพลิก น่าจะเป็น พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ (ตท.28) ขยับจากแม่ทัพน้อยที่ 1 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แทน พล.ท.อมฤต (ตท.27) ที่จะขยับขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ.

‘แม่ทัพไก่‘ พล.ท.วรยส เติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นถิ่นบูรพาพยัคฆ์ โดยรับราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกมาโดยตลอด เป็นน้องรักของ พล.อ.ธรรมนูญ วิถี 

พล.ท.วรยส แม้จะไม่ได้เป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. เพราะข้ามมาเป็น ผบ.พล.1 รอ. เลย แต่ก็จัดเป็นนายทหารที่รู้ลึก รู้จริง และชำนาญพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านจังหวัดสระแก้วแบบถ่องแท้ 

การเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 รอบนี้ ซึ่งจะต้องรับมือสถานการณ์ร้อนแรงบริเวณชายแดน โดยเฉพาะที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง พล.ท.วรยส จึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เรียกว่า “ถูกต้องทั้งคุณสมบัติ และทั้งถูกใจคนสนับสนุน”

ส่วนตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 1 แม้ชื่อ ‘รองกอล์ฟ‘ พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ (ตท.28) รองแม่ทัพที่ 1 จะแรงมาก และแรงติดโผโซเชียลมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็อย่ามองข้าม ‘รองแอ้ม‘ พล.ต.ณัฐเดช จันทรางศุ ที่ขยับเข้าไลน์มาแบบเงียบๆ ตั้งแต่ตำแหน่ง ผบ.พล.1 รอ. และขยับขึ้นเป็นรองแม่ทัพน้อยที่ 1 ก่อนจะขยับขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เมื่อปีที่ผ่านมา จากการผลักดันของ พล.อ.ชิษณุพงศ์

‘รองแอ้ม‘ พร้อมจะเป็นม้ามืด ขึ้นชิงตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 1 ได้เช่นกัน เพราะคุณสมบัติครบทุกอย่าง ‘รองกอล์ฟ‘ ช่วงนี้ คงต้องเพ่งโผแบบห้ามกระพริบตา เพราะหากเผลอ โผอาจเปลี่ยนออกหน้าอื่น เหมือนที่เคยออกมาเมื่อปี 2567 

ส่วนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 นาทีนี้ยากที่จะเปลี่ยนเป็นอื่น เพราะ ‘แม่ทัพกุ้ง‘ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง เสนอขึ้นมาชื่อเดียว คือ ‘รองเติ่ง‘ พล.ต.วีระยุทธ์ รักศิลป์  

’รองเติ่ง’ เข้าหลักเกณฑ์การพิจารณาของ ผบ.ปู ทั้งความเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.26 ที่ไว้ใจได้ ทั้งฝีมือและความเหมาะสมต่อสถานการณ์ เพราะเป็นนักรบอีสานใต้ ที่ลุยสมรภูมิไทย-กัมพูชามาแบบโชกโชน ตั้งแต่เป็นผู้พันกองพันเฉพาะกิจเขาพระวิหาร ผู้การ ร.16 และผบ.พล.ร.6 ผบ.กกล.สุรนารี  

ขณะที่แม่ทัพน้อยที่ 2 ที่เดิมมีชื่อพล.ต.นรธิป โพยนอก ตท.26 อีกคนหนึ่ง ล่าสุดข่าวว่า ‘รองยูร‘ อยากเปลี่ยนบรรยากาศ ขอลงไปชิงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 เพราะเกษียณปี 2570 หากจะรอขึ้นแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อจาก ‘รองเติ่ง’ ก็คงยาก

งานนี้ก็ต้องวัดใจ ผบ.ปู ว่า จะกล้าเปลี่ยนม้ากลางศึก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการส่ง ‘รองยูร‘ ที่เชี่ยวชาญพื้นที่อีสานเหนือ และชำนาญด้านชายแดนไทย-ลาว ลงไปแก้ปัญหาหมักหมมมานานของกองทัพภาคที่ 4 หรือไม่   

แม้ครั้งหนึ่ง ‘รองยูร’ จะเคยลงไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี แต่ก็ไม่ได้ลงไปในฐานะ ผบ.ฉก. เป็นเพียงฝ่ายอำนวยการให้กับ พล.อ.จีรศักดิ์ ชมประสพ (ตท.11) อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งลงไปเป็น ผบ.ฉก.ปัตตานีในเวลานั้นเท่านั้น

เมื่อ ‘รองยูร‘ ไม่นิ่ง เก้าอี้แม่ทัพน้อยที่ 2 จึงยังแกว่งว่า จะยังคงเป็น ‘รองยูร‘ หรือ พล.ต.ปิยะพณห์ ฐิตวัฒนานนท์ เพื่อนร่วมรุ่น ตท.26 ขยับจากรองแม่ทัพน้อยที่ 2 ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 2 แทน

ในกองทัพภาคที่ 2พล.อ.พนา ร่วมกับพล.ท.บุญสิน ยังจัดแถว ผบ.พล.ใหม่ทั้งหมด เพื่อเป็นมือทำงานให้กับ ว่าที่แม่ทัพเติ่ง โดยขยับ พล.ต.สมภพ ภาระเวช (ตท.29) จาก ผบ.พล.ร.6 ขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ที่คาดว่า พล.ต.วีระยุทธ์ จะมอบหมายงานยุทธการให้กับพล.ต.สมภพ เพื่อสานงานต่อในสมรภูมิไทย – กัมพูชา 

ส่วนตำแหน่ง ผบ.พล.ร.6 แว่วมาว่าจะขยับ พ.อ.บุญเสริม บุญบำรุง (ตท.30) รองผบ.พล.ร.6 ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ทั้ง ผบ.พล.ร.6 และผบ.กกล.สุรนารี เพราะ พ.อ.บุญเสริม ก็เป็นหนึ่งในนักรบอีสานใต้ ที่มีเส้นทางการเติบโตแบบเดียวกับ ‘รองเติ่ง’ และพล.ต.สมภพ คือ ผ่านการเป็น ผบ.ร. 16 มาก่อน 

การรับมือสมรภูมิกัมพูชารอบนี้ นอกจากมีแม่ทัพกุ้งเป็นที่ปรึกษา ยังมีว่าที่แม่ทัพเติ่ง พล.ต.สมภพ และพ.อ.บุญเสริม ว่าที่ ผบ.พล.ร.6 ที่ต่างเป็นนักรบอีสานใต้ และคร่ำหวอดชายแดนกัมพูชามาอย่างโชกโชน 

ส่วนพล.ร.3 ที่รับผิดชอบชายแดนไทย-ลาว จะมีการขยับ พล.ต.สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์ (ตท.29) จาก ผบ.พล.ร.3 ขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 และขยับ พล.ต.มงคล หอทอง (ตท.29) จากผบ.พล.พัฒนาที่ 3 ไปดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.ร.3 แทน หลังจาก พล.ต.มงคล เคยพลาดหวังตำแหน่งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา 

กองทัพภาคที่ 2 ในฐานะสมรภูมิสำคัญรอบนี้ จึงมีการขยับมากที่สุด

ส่วนกองทัพภาคที่ 3 ไม่น่าจะพลิกโผจากเพื่อนร่วมรุ่น ตท.26 ของผบ.ปู พล.ต.วรเทพ บุญญะ เช่นกัน เพราะโผกลางปี พล.อ.พนา โยกพล.ต.วรเทพ จาก ผบ.มทบ.38 ขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 ก็เพื่อมาจ่อรอขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 

ถ้าพิจารณาความเหมาะสมมากกว่าคำว่าเพื่อน ก็ต้องบอกว่า พล.ต.วรเทพ ก็จัดเป็นนักรบสายเหนือที่ผ่านการเป็น ผบ.ร.17 หน่วยหลักซึ่งเป็นกรมเคลื่อนที่เร็ว(RDF) ของกองทัพภาคที่ 3 และเหมาะสมที่ พล.อ.พนาจะไว้วางใจให้รับผิดชอบชายแดนภาคเหนือ ที่มีสถานการณ์การสู้รบในประเทศเมียนมา สถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งด้านแม่สาย เชียงราย แม่สอด จังหวัดตาก และสถานการณ์การค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ 

โผโยกย้ายปีนี้ที่ไม่นิ่งที่สุด และน่าจะมีความสับสนอลหม่านมากที่สุด เป็นโผแม่ทัพภาคที่ 4 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า พล.อ.พนา ตกลงจะให้ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ (ตท.25) อยู่ต่ออีก 1 ปี หรืออย่างน้อยอีก 6 เดือน เพื่อแก้มือ โดยจะไม่ขยับเพื่อน ตท.26 ทั้ง พล.ท.อนุสรณ์ โออุไร แม่ทัพน้อยที่ 4 และนายหัวจ้อย พล.ท.สุรเทพ หนูจ้อย ขึ้นมาแทน 

เพราะ พล.ท.อนุสรณ์ ซึ่งไม่ได้โตมาในเหล่าราบ และไม่ผ่านการเป็นผู้บังคับหน่วยหลักในทัพภาค 4 สมัครใจจะเป็น พล.อ.ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตราชการมากกว่า 

ส่วน พล.ท.สุรเทพ ก็ได้รับยศ พล.ท.ไปแล้ว ไม่จำเป้นต้องลงมาชิงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 อีก 

พล.ท.ไพศาล จึงค่อนข้างมั่นใจว่า จะได้อยู่ต่อ 

แต่ล่าสุดข่าวกลับพลิกไปหลายโผ เมื่อมีกระแสว่า พล.อ.พนา จะขยับพล.ท.ไพศาลขึ้นเป็นพล.อ.ในตำแหน่งที่ปรึกษากองทัพบก 

โดยให้ พล.ท.อนุสรณ์ จะขยับเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 และไม่ต้องกังวลว่า จะบริหารจัดการหน่วยในทัพภาค 4 ไม่ได้ เพราะจะมีเพื่อนร่วมรุ่น ตท.26 ‘รองต่อ‘ พล.ต.นิติ ติณสูลานนท์ รองแม่ทัพน้อยที่ 4 ที่จะขยับเข้ามาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 คอยช่วยเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิด และช่วยดูแลงานยุทธการทั้งหมด

พล.ท.อนุสรณ์ จะทำแค่หน้าที่แม่ทัพภาคในภาพรวม ส่วนทัพน้อยที่ 4 ก็จะเป็น ‘รองอ้วน’ พล.ต.วรเดช เดชรักษา(ตท.27) ขยับจากรองแม่ทัพอาวุโสอันดับหนึ่งมาเป็นแม่ทัพน้อยที่ 4 แทน 

แต่ล่าสุดยังมีกระแสชื่อ ‘รองยูร‘ พล.ต.นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 แทรกเข้ามาอีก โดยโผนี้ ทั้ง พล.ท.ไพศาล และพล.อนุสรณ์ จะขยับขึ้นเป็นพล.อ.ทั้งคู่โดย ‘รองยูร‘ จะมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 และ ‘รองอ้วน‘ ยังอยู่ในโผแม่ทัพน้อยที่ 4 เช่นเดิม

โผแม่ทัพภาคที่ 4 หากออกที่โผใดโผหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พล.ท.อนุสรณ์ หรือ พล.ต.นรธิป โผนี้ก็วัดใจพล.อ.พนา ว่า จะกล้าแบกรับความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดของการไว้ใจเพื่อนหรือไม่ 

เพราะโผนี้ เปรียบดั่งทั้งใส่ปลาผิดน้ำและใช้ม้าผิดตัว มากกว่าจะเป็นโผที่ถูกคน ถูกตำแหน่ง “Put the Right Man on the Right Job” เหมือนทัพภาค 1 ทัพภาค 2 และทัพภาค 3 ที่ถูกทั้งคน ถูกทั้งใจ และถูกต้อง 

ส่วนกองทัพภาคที่ 5 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เมื่อ ผบ.ปู ขยับ เพื่อนเต้ ขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ.

ตำแหน่งแม่ทัพภาค 5 ที่สำคัญต่อการเตรียมกำลังรบ และเป็นหน่วยหัวใจของนักรบพิเศษของกองทัพบก จึงเป็นอีกตำแหน่งที่ต้องละเมียด ละไม ต่อการวางตัว

พล.อ.พนา เลือกใช้บริการเพื่อน ตท.26 อีกหนึ่งคน คือ พล.ต.อดุลย์ จันทร์มา รอง ผบ.นศส. ให้ขยับขึ้นมาเป็น ผบ.นศส.แทน 

พล.ต.อดุลย์ จัดเป็นลูกหม้อรบพิเศษ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม พร้อมที่จะได้รับการยอมรับเป็นเพื่อนตาย สหายรบ ของเหล่านักรบพันธ์พิเศษของกองทัพบก 

นอกจากนี้ ยังตรงกับสถานการณ์ที่ พล.อ.พนา ต้องการปรับกำลังรบ ทั้งหมวกแดงของ นศส.และหมวกแดง ของ ร.31 รอ. หน่วยเดิมของ พล.อ.พนา ให้เป็นหน่วยพร้อมรบพิเศษ สำหรับสงครามสมัยใหม่   

การใช้เพื่อนเข้าไปเป็น ผบ.นศส.ก็จะทำให้ง่ายต่อการถ่ายเทแนวคิดการปรับหน่วย การฝึก และการจัดหาอาวุธพิเศษ สำหรับการรบรูปแบบใหม่ ให้ตรงกับความต้องการของหน่วย เพราะการรบกับกัมพูชารอบนี้ พล.อ.พนาพบว่า การจัดหาอาวุธ อุปกรณ์สนาม และอุปกรณ์ที่จะเซฟชีวิตกำลังพล ไม่ตรงกับความต้องการและความเหมาะสมของกำลังพลในภาคสนาม แต่เป็นการจัดหาตามใจหน่วยจัดหามากกว่า 

โผทหาร68 รอบนี้ของกองทัพบก จึงไม่ใช่แค่วางคน เพื่อความต้องการของผู้บัญชาการทหารบก แต่เป็นวางคนให้เหมาะกับสถานการณ์ และเหมาะต่อการทำงานเป็นทีมเวิร์ค เพื่อปรับเปลี่ยนกองทัพบกให้เป็นกองทัพที่ทันสมัย พร้อมรบ และพร้อมรับมือกับสงครามที่กำลังจะเปลี่ยนไป

เว้นแต่อัตราเสี่ยงที่กองทัพภาคที่ 4 เพียงอย่างเดียวว่า โผแม่ทัพภาคที่ 4 จะออกมาแบบที่กำลังร่ำลือกันล่าสุดหรือไม่ เพราะการใส่ปลาผิดน้ำและใช้ม้าผิดตัว พลาดนิดเดียวอาจพ่ายกลางศึก ที่กำลังร้อนแรงในพื้นที่ภาคใต้ได้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์