ไขปริศนาเก้าอี้ รมช.กลาโหม ไขปม ‘นายกฯหนู’ ยอมเสียหนึ่งโควตา เพื่อใครน้าาา?

16 ก.ย. 2568 - 03:20

  • จับตา ครม.อนุทิน 1 ฝุ่นตลบหลายเก้าอี้ต้องเปลี่ยนตัวเพราะติดล็อกคุณสมบัติ

  • ไขปมโผคนนอกในเก้าอี้ รมช.กลาโหม พลิกไปพลิกมาก่อนมีชื่อ ‘บิ๊กดุลย์‘ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2

  • นายกฯอนุทิน เกรงใจใคร? และหวังผลเช่นไรที่ต้องดันเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.61 ร่วมรัฐบาล

ไขปริศนาเก้าอี้ รมช.กลาโหม ไขปม ‘นายกฯหนู’ ยอมเสียหนึ่งโควตา เพื่อใครน้าาา?

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประไทศไทย เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 ล่าสุดรายชื่อ ‘ครม.หนู 1’ ยังไม่สะเด็ดน้ำ 

ปัญหาคุณสมบัติรัฐมนตรี ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นปัญหาแรกที่ แคนดิเดตรัฐมนตรีหน้าใหม่ ต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อฝ่าด่านหินด่านแรก

หลายรายถอดใจ…ขอถอนตัว…เพราะกังวลต่อคุณสมบัติบางข้อ 

ขณะที่ด่านสอง การทำบัญชีทรัพย์สิน ก็ยากไม่ต่างกัน เพราะต้องลงรายละเอียดแบบพลาดไม่ได้ 

ด่านนี้…ก็มีผู้ถอดใจไปอีกส่วนหนึ่ง 

ล่าสุด(ณ วันที่ 15 กันยายน 2568) แม้จะมีรายชื่อผ่านสื่อออกมาจำนวนหนึ่ง แต่รายชื่อที่ปรากฏออกมาก็ยังไม่นิ่ง 

ว่าที่รัฐมนตรีบางราย ยังไม่มั่นใจว่า ชื่อที่ปรากฏผ่านหน้าสื่อกับรายชื่อที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ จะเป็นบัญชีเดียวกันหรือไม่ ยกเว้นรายชื่อหลักๆที่แทบไม่พลิก 

โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม กระทรวงที่ก่อนหน้านี้ ทุกรัฐบาลไม่เคยประสบปัญหา และเป็นกระทรวงที่แย่งชิงกันน้อยที่สุด 

‘ครม.อนุทิน1’ หรือ ‘ครม.หนู1’ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กลับเป็นเก้าอี้ที่ต้องออกแรงกันมากเป็นอันดับต้นๆ

เริ่มจากรายชื่อ ‘พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ร่ำลือปรากฏออกมาเป็นโผแรก อันเป็นรายชื่อที่เกจิทุกวงการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า และเชื่อว่า คงไม่มีพลิก 

เหตุผล คือ ทุกฝ่ายล้วนรู้ดีว่า วัตถุประสงค์เดียวของ ‘ลุงป้อม’ ในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย คือ ตำแหน่งรองนายกฯด้านความมั่นคง ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ดูทั้งตำรวจ คุมทั้งกองทัพ 

โผแรก พล.อ.ประวิตร ขอตำแหน่งรองนายกด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยขอพ่วงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหมให้กับลูกรัก คือ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม 

เดิมพันครั้งนี้ ‘ลุงป้อม’ ยอมเสียโควตาของ พปชร. ถึง 2 ใน 4 เก้าอี้ เพื่อการบริหารกระทรวงกลาโหมแบบเบ็ดเสร็จ แต่สุดท้ายฝันของ ‘พล.อ.ประวิตร’ ที่จะกลับมานั่งตำแหน่งนี้อีกครั้งก่อนยุติบทบาททางการเมือง ก็สลายไปกับแรงเสียดทานทางการเมืองของคนชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า 

ผู้กองธรรมนัส นายทหารยศร้อยเอก ที่ดับฝัน ‘พลเอก’ และเป็นพลเอกที่เคยอุ้มชู และดูแลร้อยเอกคนนี้ เมื่อครั้งยังร่วมพรรค พปชร.ด้วยกัน เมื่อ ผู้กองธรรมนัส เสนอตัวขอเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไปยังนายกฯหนู

รายชื่อ ร.อ.ธรรมนัส(ตท.25) วันนั้นมาแรงกว่า พล.อ.ประวิตร (ตท.6) และแม้พล.อ.ประวิตรจะขอเปลี่ยนชื่อจากตัวเองเป็น พล.อ.ณัฐ (ตท.20) อันเป็นรุ่นพี่ ร.อ.ธรรมนัส ถึง 5 รุ่น และมียศสูงกว่า ร.อ.ธรรมนัส หลายชั้นยศ 

แต่ชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะตัวแทนของพรรคกล้าธรรม กลับเบียดเข้ามาในโผแรกของ ครม.หนู 1 แว่วมาว่าแรงจน นายกฯหนู ตัดสินใจไม่ยอมรับโทรศัพท์สายตรงจากบ้านป่า เพื่อเลี่ยงที่จะปฏิเสธเจ้าของเบอร์ที่โทรมาโดยตรง 

ถ้าไม่มีแรงกระเพื่อมบางอย่างที่เป็นค่อนข้างแรง แรงกระเพื่อมอันกระแทกตรงถึงตัว นายกฯอนุทิน แรงกระเพื่อมที่สะท้อนถึงความไม่สบายใจต่อรายชื่อ ร.อ.ธรรมนัส หากจะเข้ามาคุมกระทรวงกลาโหม วันนี้อาจจะมีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เป็นร้อยเอกคนแรกขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รอขึ้นแท่นรับความเคารพจากนายทหารยศพลเอกในพิธีสวนสนามต้อนรับรัฐมนตรีคนใหม่ไปแล้ว 

แรงกระเพื่อมที่ส่งตรงถึง นายกฯหนู เพื่อแสดงความไม่สบายใจ ยังพ่วงด้วยชื่อของพล.อ.ณัฐพล  นาควานิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งไปให้นายกฯหนู บรรจุลงในโผ ครม.หนู 1 เพื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแบบเต็มตัวด้วย

ชื่อ ’บิ๊กเล็ก’ วันนั้นจึงสุกสกาวพราวยิ่ง เพราะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นตัวกลางที่จะเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลหนู1 กับผบ.เหล่าทัพ และเชื่อมโยงกับอำนาจแรงกระเพื่อมนอกรัฐบาลได้อย่างลงตัว 

ด้านหนึ่ง ‘บิ๊กเล็ก‘ ก็เป็นดั่งจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่วางแนวทางปฏิรูปกองทัพ ผ่านพลพรรคเพื่อน ตท.26 เพราะตำแหน่งรมว.กลาโหม คือ ด่านสุดท้ายของการอนุมัติแผนงานทั้งหมด ก่อนนำเข้าสู่ ครม. และเพียง ‘บิ๊กเล็ก’ คนเดียว ก็ไม่มีเสียงเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงมติผบ.เหล่าทัพ ในบัญชีโยกย้ายนายทหารระดับนายพล ของแต่ละเหล่าทัพได้  

ที่ผ่านมา ‘บิ๊กเล็ก’ ก็ไม่เคยยุ่งกับการตัดสินใจของผบ.เหล่าทัพอยู่แล้ว โดยจะดูเพียงสำนักปลัดกลาโหมโดยเฉพาะบัญชีโยกย้ายนายทหารฝ่ายเสธฯประจำตัวรัฐมนตรีเท่านั้น 

แต่ความโดดเด่นของแรงสนับสนุน ‘บิ๊กเล็ก‘ กลับเป็นดาบอีกคม ที่ทำให้ ‘บิ๊กเล็ก‘ กลายเป็นตำบลกระสุนตก เมื่อเริ่มมีเสียงโจมตี และมีการปล่อยข้อมูลที่สร้างความสับสน โดยเฉพาะท่าทีเรื่องการเปิดด่านไทย-กัมพูชา ที่มีข้อมูลปรากฏในโซเชี่ยลมีเดียหลายสำนักว่า ‘บิ๊กเล็ก‘ สนับสนุนให้มีการเปิดด่าน เพื่อเปิดเส้นทางการค้าในบางจุด หลังได้รับการร้องขอมาจากประเทศที่สาม ที่ต่อมาถูกระบุว่า เป็นประเทศญี่ปุ่น 

แม้ ‘บิ๊กเล็ก’ จะออกมาปฏิเสธว่า เป็นเพียงแนวคิด แต่ขั้นตอนต้องมาหารือ และพิจารณาเป็นพื้นที่ โดยแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ โซน 1 พื้นที่ด่านและจุดผ่านแดนในภาคอีสาน โซน 2 คือ พื้นที่ภาคตะวันออกด้านจังหวัดสระแก้ว ส่วนโซน 3 คือ พื้นที่บริเวณจันทบุรีและตราด

แต่การออกมาให้ข้อมูลของ ‘บิ๊กเล็ก’ กลับเพิ่มกระสุนให้ตกลงมาที่ “ตำบลณัฐพล” อีก 

เพราะด้านหนึ่ง ก็ยังสร้างความไม่พอใจให้กับมวลชนที่ไม่ต้องการให้เปิดด่าน ด้านหนึ่ง ก็สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มที่ต้องการให้เปิดด่านแบบไม่มีเงื่อนไข โดยอ้างว่า ในเมื่อทางกัมพูชาแสดงท่าทีพร้อมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องทุกข้อของไทย ฝ่ายไทยก็ควรจะยุติความขัดแย้งด้วยการเปิดด่าน เพื่อทำการค้าตามปกติ

แรงเสียดทานทั้ง 2 ด้าน กระแทกตรงไปยัง ‘บิ๊กเล็ก‘ ที่แม้ต่างฝ่ายต่างมีความต้องการต่างกัน แต่ทั้งสองฝ่าย กลับมีเป้าหมายตรงกันคือ เขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ ‘บิ๊กเล็ก’

ฝ่ายแรก ต้องการความเด็ดขาด แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ปิดด่านเด็ดขาด และรบให้จบ จนกัมพูชาหมดความสามารถที่จะเป็นภัยคุกคาม 

ฝ่ายหลัง ต้องการความเด็ดขาดที่พร้อมเปิดด่าน ทำการค้า สร้างสัมพันธ์กลับมาให้เหมือนบรรยากาศก่อนความขัดแย้ง 

‘บิ๊กเล็ก’ ที่มีบุคคลิกเป็นคนประนี ประนอม จึงถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่าย 

แต่เมื่อพลัง “ลมใต้ปีก” ของ ‘บิ๊กเล็ก’ ยังเป็นพลังที่มีทั้งไดนามิก และรุนแรงยิ่ง เมื่อ “เปลี่ยนทางตรงไม่ได้“ ปฏิบัติการ “เปลี่ยนทางอ้อม” ก็เริ่มขึ้น 

ชื่อของ ‘แม่ทัพดุลย์’ พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ,อดีต ผบ.พล.ร.6 และอดีต ผบ.กองกำลังสุรนารี ผู้รับราชการในพื้นที่อีสานใต้ อันเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับกัมพูชามาโดยตลอด ก็ปรากฏขึ้น 

มีข้อมูลระบุว่า ’แม่ทัพดุลย์’ อีกหนึ่ง ตท.26 ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา จะถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

นัยหนึ่ง ก็เพื่อแบ่งเบาภาระของ ‘บิ๊กเล็ก’ โดยเฉพาะภาระด้านภารกิจชายแดนไทย-กัมพูชา  เพราะ ‘แม่ทัพดุลย์’ เชี่ยวชาญงานด้านกัมพูชา และมีประวัติเป็นนายทหารนักรบที่ปะทะกับฝ่ายกัมพูชามาแล้วหลายครั้ง 

เมื่อครั้งเป็นผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 ‘แม่ทัพดุลย์' เคยปะทะกับกัมพูชาหลายครั้ง จนฝ่ายกัมพูชาต้องยื่นคำขาดให้ย้าย พล.ท.อดุลย์ ออกจากพื้นที่ หากต้องการให้มีการเจรจากันในเวลานั้น 

นอกจากนี้ อีกนัยหนึ่ง ก็เพื่อให้ ‘แม่ทัพดุลย์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในนายทหาร ตท.26 เป็นตัวเชื่อมกับเพื่อนร่วมรุ่นในทุกเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองทัพบก ที่อุดมไปด้วยตท.26 เกือบทุกตำแหน่งหลัก 

ทั้งสองเหตุผล ทั้งสองนัย เสมือนหนึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะดึง ‘แม่ทัพดุลย์’ มาดำรงตำแหน่งรมช.กลาโหม 

แต่เบื้องลึกจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ ตัว ‘แม่ทัพดุลย์' เองก็รู้ดี 

รู้ว่า การเชื่อมต่อกับเพื่อน ตท.26 นั้น ไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่ตัวเขาถูกเลือก เพราะ ‘บิ๊กเล็ก’ ก็สามารถเชื่อมต่อกับ พล.อ.พนาได้โดยตรง 

ส่วนเรื่องความเชี่ยวชาญด้านชายแดนไทย-กัมพูชา ‘แม่ทัพดุลย์’ ยิ่งรู้ดี

รู้เพราะเป็นนายทหารในพื้นที่มานาน 

รู้เพราะใกล้ชิดยิ่งกับบ้านใหญ่บุรีรัมย์ รวมทั้งใกล้ชิดยิ่งกับ นายกฯหนู ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.61 และยิ่งรู้ เพราะรู้ตื้นลึกหนาบางของนายทหารฝั่งกัมพูชา และรู้ทุกรายละเอียดของพื้นที่ด่าน และจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชาในภาคอีสาน 

โดยเฉพาะเมื่อรู้ลึกยิ่ง ถึงขุมอำนาจและผลประโยชน์ ในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามของทุกด่านและทุกจุดผ่านแดน…

เพราะรู้ลึกในทุกเรื่อง…จึงไม่แปลกที่ ‘แม่ทัพดุลย์’ เลือกที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญของเพื่อนหนู ที่วันนี้อำนาจเต็มมือในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 

ไม่แปลกที่ ‘แม่ทัพดุลย์’ ไม่อยากนั่งในตำแหน่ง รมช.กลาโหม ตำแหน่งที่ร้อนยิ่งในเวลานี้

เพราะรู้ดีว่า ตำแหน่งย่อมมาพร้อมภารกิจ “อะไรที่ได้…ก็ย่อมมีสิ่งที่ต้องคืน”

‘แม่ทัพดุลย์’ เคยเปรยกับคนใกล้ชิด เมื่อตอนเกษียณอายุราชการใหม่ๆว่า โล่งสบาย เพราะเสร็จสิ้นภารกิจ จะได้มีเวลาทำเรื่องที่อยากทำ มีเวลาส่วนตัว ไปในที่ที่อยากไป

‘แม่ทัพดุลย์’ ยังมีภารกิจสำคัญ คือ การถวายงาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในมูลนิธิชัยพัฒนา อันเป็นเหตุผลสำคัญที่ปฏิเสธคำเชิญของเพื่อนหนู 

แต่คำปฏิเสธแรกของ แม่ทัพดุลย์ จะเป็นผลหรือไม่ ปรากฏว่า “ก็ยังน้า…ยังไม่เป็นผลน้า“ เพราะจนโผล่าสุด ก็ยังมีชื่อ ‘แม่ทัพดุลย์’ เป็น รมช.กลาโหม 

นายกฯหนูเองก็บอกกับสื่อ ถึงความจำเป็นที่กระทรวงกลาโหมต้องมีรัฐมนตรีช่วย ทั้งที่แต่ไหน แต่ไรมา การมีรัฐมนตรีช่วย ก็ด้วยเหตุผลเดียว คือ การเพิ่มตำแหน่งในกรรมการกลาโหม ให้มีสิทธิ์โหวตในการประชุมเพื่อโยกย้ายนายทหารระดับนายพลเท่านั้น 

เพราะลำพังภารกิจอื่นในกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวง และ ผบ.เหล่าทัพ ต่างก็ช่วยกันปฏิบัติภารกิจหลักอยู่แล้ว 

ครั้ง ‘ชวน หลีกภัย’ ควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ก็ไม่มีรัฐมนตรีช่วย

รัฐบาลของ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ควบกลาโหม ก็ไม่มีรัฐมนตรีช่วย 

พล.อ.ประวิตร ที่ควบทั้งรองนายกฯที่ดูแลความมั่นคง ควบรมว.กลาโหม ก็ไม่มีรัฐมนตรีช่วย 

จะมีก็ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยล่าสุด ทั้งรัฐบาลนายกฯเศรษฐา ทวีสิน และนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ที่มี‘บิ๊กเล็ก‘ เป็นรัฐมนตรีช่วย ด้วยเหตุผลสำคัญของการเข้ามาถ่วงดุลอำนาจการบริหารกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

การที่ นายกฯหนู ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ยอมเสียตำแหน่งรัฐมนตรีหนึ่งโควตา เพื่อให้ ‘แม่ทัพดุลย์’ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยกลาโหม ชัดเจนว่า ย่อมมีนัยที่สำคัญยิ่ง

สำคัญขนาด ยอมเฉือนโควตารัฐมนตรีในส่วนของพรรคภูมิใจไทย 

สำคัญถึงขนาด อาจกระทบความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตร

สำคัญขนาดที่ ‘เพื่อนดุลย์’ ปฏิเสธแล้ว ก็ยังมีชื่ออยู่ในโผ 

สำคัญขนาดนี้ ย่อมมีเพียง นายกฯหนู และคนที่นายกฯหนูเกรงใจ เท่านั้นที่รู้

“จริงไม๊น้า” หรือ “ก็อาจจะยังน้า”

“ยังบอกไม่ได้…น้าาาา”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์