หลังร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ถูกแช่แข็งไว้ครบ 180 วันแล้ว สภาผู้แทนราษฎร ก็นำร่างเดิมกลับมายืนยันด้วยเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 138 (2) เพื่อประกาศใช้ต่อไป
เป็นประชามติ ‘ชั้นเดียว’ ตามที่นักการเมืองส่วนใหญ่ประสงค์
แต่ดูเหมือนกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเป็นเหมือนกุญแจดอกสำคัญไขไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น มาเอาในเวลาที่ ‘ตลาดวาย’ หรือไม่ก็สายจนเลยเพลไปแล้ว
ทว่าทันทีที่สภาผู้แทนราษฎร มีมติยืนยันกฎหมายฉบับนี้ในช่วงเที่ยงวันพุธที่ 16 กรกฎาคม นักข่าวที่ติดตามรองนายกฯ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ก็สอบถามความชัดเจนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบไม่รอช้าในช่วงบ่ายอ่อน
“ขอให้ว่ากันไปตามกฎหมาย ยืนยันว่าอะไรที่ต้องปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติ” คำตอบกว้างๆ ที่ได้จากรองฯ ภูมิธรรม
เมื่อถามย้ำว่า จะเป็นสัญญาณที่ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจบในรัฐบาลนี้หรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้คือ
“ไปดูความเป็นจริงดีกว่า รู้ว่าผ่านแล้วต้องดำเนินการอย่างไร เราก็จะดำเนินการอย่างเต็มที่ ต้องดูไทม์ไลน์ เพราะมันจะบอกว่าเราต้องทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร ไปดูตรงนั้นดีกว่าไม่ต้องมาถามผม”
แม้รองฯ ‘อ้วน-ภูมิธรรม’ จะตอบแบบให้ไปค้นหาคำตอบกันเอาเอง แต่คนที่ติดตามเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมาตลอด จะรู้ได้เลยว่ามาถึงวันนี้ทุกอย่างมันสายไปหมดแล้ว ต่อให้กฎหมายประชามติชั้นเดียว มีผลบังคับใช้วันพรุ่งนี้ก็ไม่ทันอยู่ดี
เรื่องของเรื่อง เพราะต้องมีกระบวนการขั้นตอนโดยเริ่มจากมติ ครม.ก่อน แล้วส่งให้ กกต.ไปดำเนินการตามกรอบเวลาในกฎหมาย ซึ่งมีกรอบอยู่ระหว่าง 90-120 วัน เพื่อให้มีเวลาพอสำหรับรณรงค์ทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องที่จะทำประชามติ
แต่ที่สำคัญคือ คำร้องจากรัฐสภายังคาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ได้รับคำตอบว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่รัฐสภาพิจารณาคาเอาไว้นั้น จะเดินหน้าไปต่อได้หรือไม่ ต้องทำประชามติกี่ครั้ง และทำในช่วงไหนบ้าง ก่อนหรือหลังการพิจารณาของรัฐสภา
ทั้งหมดยังรอคำตอบจากศาลรัฐธรรมนูญ
งานนี้ผู้สันทัดกรณีนับนิ้วดูแล้ว ไม่ว่าผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไปต่อลำบากอยู่ดี โดยอย่างเร็วสุด ต่อให้รัฐสภาสามารถเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขที่ค้างอยู่ได้เลย เพราะทำประชามติแค่สองครั้ง ไม่ต้องทำก่อนเสนอญัตติต่อสภาก็ตาม
บังเอิญทั้งสองร่างที่ค้างพิจารณาอยู่นั้น เป็นฉบับของพรรคเพื่อไทยกับฉบับพรรคประชาชน ที่วุฒิสภาไม่เห็นด้วยกับทั้งสองร่าง ดังนั้น โอกาสจะได้เสียง สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง จึงยากและคงถูกคว่ำตั้งแต่วาระแรกด้วยซ้ำ
ยิ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ทำประชามติ 3 ครั้ง และต้องทำก่อนเสนอญัตติต่อสภา ก็จะทำให้ร่างแก้ไขที่ค้างอยู่ในสภาตกไป ต้องกลับมาเริ่มต้น ‘นับหนึ่ง’ กันใหม่ ก็จะยิ่งทำให้เวลาทอดยาวออกไปอีกนาน
เพราะฉะนั้น การที่สภาผู้แทนราษฎร นำร่างเดิมของ พ.ร.บ.ประชามติ มายืนยันประกาศใช้ในห้วงเวลานี้้ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดวายไปแล้ว หากจะเดินหน้าผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในสภาชุดนี้
เอาเป็นว่าช้าเร็วอย่างไร คงต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตอบออกมาก่อน
จากนั้น ค่อยไปคิดอ่านหาช่องทางนำลูกมาตั้งเขี่ยกันใหม่ หรือจะนำไปใช้เป็นนโยบายเรือธง หาเสียงกับประชาชนในการเลือกตั้งเที่ยวหน้าอีกครั้ง ก็น่าจะพอปัดฝุ่นขายได้อยู่
เพราะเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นน้ำยาบ้วนปากชั้นดีของนักประชาธิปไตยอยู่แล้ว