ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 22 ของ ‘เต๋’ วิทัย รัตนากร กลายเป็นตำแหน่งที่ถูกจับตามองมากที่สุดในแวดวงเศรษฐกิจ ไม่เพียงเพราะในช่วงโค้งสุดท้ายจะมีการพลิกโผกันหลายตลบ จนต้องลุ้นกันมาแรมเดือน แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีก็มีมติเห็นชอบตามที่ รองนายกฯและรมว.คลัง พิชัย ชุณหวชิร เสนอให้พิจารณา
วิทัย สามารถเบียด ‘แคนดิเดต’ คนสำคัญอย่าง ‘ดร.รุ่ง มัลลิกะมาศ’ รองผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน
ชนิดค้านสายตาของคนในสายนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ทั้งคนใน และคนนอกวังบางขุนพรหม รวมทั้งคนในแวดวงการเมืองในปีกตรงข้ามกับค่ายสีแดง
โดยจะเข้าดำรงตำแหน่งแทน ‘ดร.นก’ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนปัจจุบัน ที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ในวันที่ 30 กันยายนนี้
ต้องยอมรับว่าการชิงตำแหน่ง ผู้ว่าฯธนาคารกลางของไทยในรอบนี้ขับเคี่ยวกันค่อนข้าง‘ดุเดือด’จนถึงนาทีสุดท้าย และ ‘วิทัย’ ต้องเผชิญแรงกดดัน และมีอาการเครียดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะถึงแม้เส้นทางการเดินเข้าสู่วังบางขุนพรหมของเขาจะมี ‘ลมใต้ปีก’ จากผู้หลักผู้ใหญ่ในปีกการเมืองของพรรคเพื่อไทย
แต่ในอีกด้านก็กลายเป็น‘จุดอ่อน’ ที่ทำให้ตกเป็นเป้าและมีแรงต้าน เนื่องจากมีคำถาม และความกังวลถึงความเป็นอิสระในการตัดสินใจในเชิงนโยบายของแบงก์ชาติในอนาคต
ตำแหน่ง ผู้ว่าแบงก์ชาติที่ได้มา ‘วิทัย’ จึงต้องเผชิญกับความท้าทาย และบทพิสูจน์ว่าเขามีความสามารถเพียงพอที่จะสร้างการยอมรับ และสร้างความเชื่อมั่น Trust & Confidence ให้กับตลาดเงินและตลาดทุนได้หรือไม่
‘เต๋’ วิทัย ปัจจุบันอายุ 54 ปี เติบโตมาในครอบครัวที่ผูกพันกับแวดวงตลาดเงินตลาดทุนมาโดยตรง มารดาคือ ‘ศิริลักษณ์ รัตนากร’ ผู้บริหารหญิงคนแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในยุคเริ่มต้น ส่วนบิดาคือ ‘โสภณ รัตนากร’ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม
ถึงแม้จะไม่มีดีกรีระดับปริญญาเอก แต่ วิทัย มีประวัติการศึกษาที่ไม่ธรรมดา โดยจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีปริญญาโทถึง 3 ใบ ได้แก่ เศรษฐศาสตร์การเมือง และกฎหมายธุรกิจจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงด้านการเงินจากมหาวิทยาลัย Drexel สหรัฐอเมริกา
เส้นทางสายการเงินของวิทัย เริ่มต้นจากสายงานวิจัยหลักทรัพย์ ที่บล.ภัทร ก่อนก้าวเข้าสู่บทบาทผู้จัดการกองทุนของ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และถูกดึงตัวไปนั่งเป็น CFO ของสายการบินนกแอร์ (NOK) ในช่วงของกรทำแผนฟื้นฟูกิจการ จนสามารถนำ ‘นกแอร์’ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สำเร็จในปี 2556
หลังจากนั้น วิทัย โยกกลับมารับบทบาทรองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และถูกดึงตัวไปช่วยในการฟื้นฟูธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (IBANK) ก่อนที่จะตัดสินใจกลับมาสมัครเป็น‘เลขาธิการ กบข.’ ในปี 2561 และกลับมารับตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินในปี 2563 โดยมุ่งปรับภาพลักษณ์องค์กรสู่แนวคิด ‘ธนาคารเพื่อสังคม’ (Social Bank) อย่างจริงจัง
สำหรับคนที่ใกล้ชิดกับ ‘เต๋’ วิทัย จะทราบดีว่าเขามีความเป็นผู้นำเชิงนโยบาย ที่มีความคิดเป็นระบบ กล้าตัดสินใจ และเป็นนักปฏิบัติ ที่ติดดินพร้อมจะถกแขนเสื้อลงไปลุย แต่ขณะเดียวกันก็มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีทักษะด้านการเจรจาเป็นเลิศ
ทำให้ได้รับการยอมรับในแวดวงเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งทำให้เขากลายเป็น ‘จิ๊กซอว์’ ชิ้นสำคัญ ที่ฝ่ายการเมืองมองว่า เขาคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะเข้ามานั่งในตำแหน่งผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนต่อไป ที่ต้องทำงานไปทิศทางเดียวกับแนวคิดและนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้าย ที่ต้องการสร้างผลงานในการกอบกู้เศรษฐกิจ หลังจากต้องทนหงุดหงิดกับการทำงานของ ผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนปัจจุบันมาถึงกว่า 3 ปี
ทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย มีโจทย์สำคัญอย่างน้อย ‘10 เรื่อง’ ที่ต้องการเร่งผลักดันให้เห็นเป็นรูปธรรม ภายใต้แนวคิดการใช้โยบายการเงิน ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับนโยบายการคลัง โดยเชื่อมั่นว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และพลิกฟื้นเศรษฐกิจของไทย และทำให้ GDP ของไทยเติบโตได้มากกว่าที่ตกอยู่ในสภาพต่ำกว่าศักยภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วย
1. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ควรปรับลดลงจากระดับปัจจุบันที่อยู่ที่ 1.75% ที่ควรลดลงเร็วและแรงมากพอที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่ง คณะกรรมการนโยบายการเงิน ยังจะมีการประชุมในปีนี้อีก 3 ครั้ง คือ 13 สิงหาคม 8 ตุลาคม และครั้งสุดท้าย 17 ธันวาคม
2. การดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ที่ควรบริหารให้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงจากระดับปัจจุบัน ที่แข็งค่าค่อนข้างแรง อยู่ที่ระดับ 32.25 บาท ต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐฯ
3. การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยเร่งสนับสนุนให้ประชาชนปรับโครงสร้างหนี้ ผ่านโครงการ ‘คุณสู้เราช่วย เฟส 2’
4. โครงการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ AMC ร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อซื้อหนี้เสีย NPL จาก สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และธุรกิจเช่าซื้อ ออกมาจากระบบธนาคารพาณิชย์ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ได้ปลดภาระ
5. ปรับปรุงโครงสร้างอัตราดอกเบี้ย เงินฝาก และเงินกู้ เพื่อลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ที่สูงถึง 2 หลัก
6. จัดสรรวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ Soft Loan 3-5 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเยียวยา ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม รวมทั้งผู้ส่งออก ที่ถูกผลกระทบจากการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
7. ทบทวนการพิจารณาอนุมัติใบอนุญาต ธนาคารไร้สาขา Virtual Banking เพิ่มจาก 3 ใบ อีก 2 ใบ
8. แนวคิดในเรื่องของการส่งเสริม สินทรัพย์ดิจิทัล
9. แนวคิดในเรื่องการจัดตั้ง Financial Hub
10. บริหารจัดการทุนสำรองเงินตรา โดยเพิ่มสินทรัพย์ทางเลือกมากขึ้น รวมถึงการนำทุนสำรองบางส่วนมาจัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง
ทั้งหมดคือ การบ้านที่ ‘วิทัย’ ต้องเข้ามา เพื่อปลด ‘ล็อก’ ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายที่จะต้องเผชิญกับแรงกดดดันค่อนข้างสูง เพราะในขณะที่เขาต้องพยายามสร้างการยอมรับ และระมัดระวังในการบริหารความขัดแย้งในองค์กร
เขายังต้องเจอกับแรงกดดันทางการเมือง ที่กำลังจับตามองว่า เขาจะรักษาความเป็นอิสระของธนาคารกลางเอาไว้ได้อย่างไร อีกไม่นานคงเห็นบทพิสูจน์...