DeepSPACE กลยุทธ์คุยไป รบไป ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย จะดำเนินต่อไป เพราะทั้งสองฝ่ายมีสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี การแยกทางแบบเด็ดขาดจึงเป็นไปไม่ได้ บางช่วงอีกฝ่ายพลาดท่า ก็จะถูกรุกไล่ แต่ทั้งหลายทั้งปวง การกลับมาร่วมรัฐบาลกันก็เกิดขึ้นได้ เมื่อสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ติดตามใน Deep SPACE..ลึกกว่าที่รู้
แม้จะยืนอยู่กันคนละฝั่ง แถมเปิดวอร์เข้าใส่กันแบบไม่ยั้ง ระหว่าง อนุทิน ชาญวีรกูล - ทักษิณ ชินวัตร ที่ดูเผินๆ อาจไปไกลถึงขั้นไม่เผาผีกันด้วยซ้ำ แต่ดูจากท่าทีล่าสุดของ ‘เสี่ยหนู’ ที่พูดถึง ‘ทักษิณ’ ยังเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
อนุทิน ยังคงเส้นคงวา รักษาระยะความเป็นลูกน้องกับอดีตผู้บังคับบัญชาเอาไว้อยู่บ้าง
ดูจากหลายประโยคที่ตอบคำถามสื่อล่าสุด อันสืบเนื่องจากคำพูดของทักษิณ ในงานเลี้ยงสังสรรค์สส.พรรคร่วมรัฐบาลในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิ คำว่า ‘ไม่เป็นสุภาพบุรุษ’
อนุทิน กลับมองเป็นคำพูดเล็กน้อย ไม่ให้เอามาใส่ใจ
‘วันนี้ประเทศไทยควรหาทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดความสามัคคี เรามีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ คนไทยควรรักกันเอง’
หรือเมื่อถูกถามถึงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ในทางการเมืองจะใช้คำว่าผีไม่เผาเงาไม่เหยียบได้หรือไม่ คำตอบที่ได้คือ
‘ได้ในทุกบริบท บางทีก็ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร บางทีผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ บางทีก็พูดอย่างทำอย่าง ใครจะบัญญัติมาใช้ แต่พรรคภูมิใจไทยแน่นอนว่าพูดแล้วทำอย่างเดียว’
อาจเป็นคำตอบกว้างๆ และวกมาเยินยอพรรคตัวเองในตอนท้าย แต่มีบางประโยคที่ต้องบันทึกช่วยจำเอาไว้คือ คำถามที่ว่า เมื่อเขาผิดสัญญาในรอบนี้แล้วการเลือกตั้งครั้งหน้าจะกล้าไปร่วมรัฐบาลกับเขาหรือไม่?
อนุทิน ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนานว่า
‘ต้องกล้า เพราะคราวที่แล้ว ก็ไม่ได้ไปร่วมรัฐบาลเอง แต่เขาเชิญไปกินช็อคมิ้นต์ คนที่เชิญก็บอกว่าเชิญด้วยเงื่อนไขแบบนี้’
คำว่าเงื่อนไขแบบนี้ของอนุทินตอนนั้น คือข้อตกลงให้กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทั้งหมดตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว
ด้านหนึ่งคงเป็นการสวนกลับไปในตัวว่า ใครกันแน่ที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษ?!
ในเวลาไล่เรี่ยกัน ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ผู้ทำหน้าที่กระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาให้เสมียนประเทศ ออกมาตอบคำถามแบบแทงกั๊ก เรื่องทักษิณจะจับมือกับพรรคการเมืองกลุ่มเดิมจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดภูมิใจไทยออกไปจากสมการ
สุริยะตอบแบบ ‘บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น’ ว่า ปกติหลังเลือกตั้ง เราก็จะมาดูผลแพ้ชนะว่าเป็นอย่างไร หากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมจับมือกันแล้วได้เสียงเกินไปเยอะ ก็ไม่จำเป็นต้องหาเสียงจากพรรคฝ่ายค้านเดิมมาร่วม แต่หากไม่เพียงพอ ก็ต้องไปพูดจากัน
เป็นคำพูดที่แสดงถึงความเก๋าทางการเมือง ไม่ปิดประตูลั่นดาล หลังเคยมีบทเรียนราคาแพง พลั้งปากประกาศไม่ขอรับตำแหน่งทางการเมืองผ่านหน้าจอทีวี จนต้องออกมาถอนคำพูดในตอนหลัง
หากมองกันแค่นี้ คงไม่เห็นภาพชัดนักระหว่าง ‘ทักษิณ-อนุทิน’ ที่ตัดกันไม่ขาด แต่ถ้าดูไปยาวๆ ก็จะเริ่มเห็นว่าสาระพัดเรื่องที่ไล่เช็คบิลกันเวลานี้ ถึงวันหนึ่งก็ต้องเปิดพื้นที่ให้มีการเจรจากันขึ้น เพราะแม้ภูมิใจไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว
แต่ภูมิใจไทยก็เป็นฝ่ายค้านที่ถือดุลอำนาจสภาสูงไว้ในมือ
ดังนั้น การผ่านกฎหมายทุกฉบับต้องอาศัยสภาสูง รวมถึงการรับรองกรรมการในองค์กรอิสระที่แต่งตั้งเข้าไปแทนตำแหน่งที่ว่าง ล้วนต้องผ่านสภาสูงทั้งสิ้น ซึ่งมีหลายคนผ่านการรับรองเข้าไปทำหน้าที่ในองค์กรหลักๆ บ้างแล้ว
ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลเสียง‘ปริ่มน้ำ’ กำลังเพลี่ยงพล้ำอย่างหนักทั้งจากสถานการณ์ชายแดน ที่ขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านผสมความแค้นส่วนตัวของสองตระกูล และปัญหาภาษีทรัมป์ที่ไม่รู้จะจบลงอย่างไร
ไม่นับนิติสงครามที่ตามไล่ล่าสองพ่อลูก?!
ในสถานการณ์แบบนี้ ‘ทักษิณ-อนุทิน’ จึงต้องเปิดการเจรจา แลกเปลี่ยนสินค้าทางการเมืองกันไปกลางสมรภูมิรบ เพราะฝ่ายหนึ่งครองอำนาจ อีกฝ่ายมีชะนักปักหลัง แต่ยังถือดุลอำนาจในสภาสูงไว้
อาวุธหนัก อาวุธเบา ที่จะประเคนเข้าใส่กันต่อจากนี้ผ่านกลไกสภา ไม่ว่าจะเป็นญัตติด่วนด้วยวาจา หรือจะจับรัฐบาล ‘ขึงพืด’ ผ่านการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ที่ใช้เสียงสส.เพียง 1 ใน 10 ซึ่งภูมิใจไทยสามารถยื่นได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งพรรคส้ม
ยกเว้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ต้องพึ่งพรรคส้ม เพราะใช้เสียง 1 ใน 5
ที่ผ่านมาจึงได้เห็นการทำหน้าที่ฝ่ายค้านน้องใหม่ในสภาของภูมิใจไทย ออกตัวแรงล้อฟรีมาตลอดในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ด้านหนึ่ง คงเกิดจากการเป็น ‘ฝ่ายค้านผสมแรงแค้น’ อีกด้านต้องเร่งเปิดแนวรบ เพื่อสร้างราคาต่อรอง
ตามสูตรสำเร็จของการต่อรองที่ทรงพลัง ‘ต้องรบไปเจรจาไป’ เพราะกำลังถูกฝ่ายที่ถืออำนาจรุกหนัก ตั้งแต่ที่ดินเขากระโดง ลงลึกไปถึงกัญชา ยาเสพติด เครือข่ายในระบบราชการที่วางไว้ตลดสองปี ถูกทะลายห้างลงในชั่วพริบตา
สุดท้าย ‘ทักษิณ-อนุทิน’ ยังต้องพึ่งพากันในหลายเรื่อง ที่ฝ่ายหนึ่งมีแต่อีกฝ่ายไม่มี ไม่จำเป็นต้องดึงภูมิใจไทยกลับมาเข้าร่วมรัฐบาลตอนนี้ แต่สามารถยื่นหมู ยื่นแมว แลกเปลี่ยนสินค้าทางการเมืองกันได้ ส่วนในอนาคตจะกลับมาร่วมรัฐนาวากันอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความลงตัวของเงื่อนไขการต่อรอง
นี่แหล่ะที่ ‘ทักษิณ-อนุทิน’ ตัดกันไม่ขาด.