DeepSPACE ‘อนุทิน-ทักษิณ’ สองขั้วการเมืองตัดกันไม่ขาด

24 ก.ค. 2568 - 04:48

  • การเมืองเรื่องการต่อรอง และผลประโยชน์ร่วม

  • เพื่อไทยกับภูมิใจไทย ขัดแย้งกันมาต่อเนื่อง ช่วงชิงกันตลอด

  • สุดท้ายทั้ง 2 พรรคก็ตัดกันไม่ขาด การกลับมาร่วมกันไม่ใช่เรื่องแปลก

DeepSPACE ‘อนุทิน-ทักษิณ’ สองขั้วการเมืองตัดกันไม่ขาด

DeepSPACE   กลยุทธ์คุยไป รบไป ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย จะดำเนินต่อไป  เพราะทั้งสองฝ่ายมีสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี  การแยกทางแบบเด็ดขาดจึงเป็นไปไม่ได้  บางช่วงอีกฝ่ายพลาดท่า ก็จะถูกรุกไล่  แต่ทั้งหลายทั้งปวง การกลับมาร่วมรัฐบาลกันก็เกิดขึ้นได้ เมื่อสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ติดตามใน Deep SPACE..ลึกกว่าที่รู้

แม้จะยืนอยู่กันคนละฝั่ง แถมเปิดวอร์เข้าใส่กันแบบไม่ยั้ง ระหว่าง อนุทิน ชาญวีรกูล - ทักษิณ ชินวัตร ที่ดูเผินๆ อาจไปไกลถึงขั้นไม่เผาผีกันด้วยซ้ำ แต่ดูจากท่าทีล่าสุดของ ‘เสี่ยหนู’ ที่พูดถึง ‘ทักษิณ’ ยังเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

อนุทิน ยังคงเส้นคงวา รักษาระยะความเป็นลูกน้องกับอดีตผู้บังคับบัญชาเอาไว้อยู่บ้าง

ดูจากหลายประโยคที่ตอบคำถามสื่อล่าสุด อันสืบเนื่องจากคำพูดของทักษิณ ในงานเลี้ยงสังสรรค์สส.พรรคร่วมรัฐบาลในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิ คำว่า ‘ไม่เป็นสุภาพบุรุษ’

อนุทิน กลับมองเป็นคำพูดเล็กน้อย ไม่ให้เอามาใส่ใจ

‘วันนี้ประเทศไทยควรหาทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดความสามัคคี เรามีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ คนไทยควรรักกันเอง’

หรือเมื่อถูกถามถึงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ในทางการเมืองจะใช้คำว่าผีไม่เผาเงาไม่เหยียบได้หรือไม่ คำตอบที่ได้คือ

‘ได้ในทุกบริบท บางทีก็ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร บางทีผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ บางทีก็พูดอย่างทำอย่าง ใครจะบัญญัติมาใช้ แต่พรรคภูมิใจไทยแน่นอนว่าพูดแล้วทำอย่างเดียว’

อาจเป็นคำตอบกว้างๆ และวกมาเยินยอพรรคตัวเองในตอนท้าย แต่มีบางประโยคที่ต้องบันทึกช่วยจำเอาไว้คือ คำถามที่ว่า เมื่อเขาผิดสัญญาในรอบนี้แล้วการเลือกตั้งครั้งหน้าจะกล้าไปร่วมรัฐบาลกับเขาหรือไม่?

อนุทิน ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนานว่า

‘ต้องกล้า เพราะคราวที่แล้ว ก็ไม่ได้ไปร่วมรัฐบาลเอง แต่เขาเชิญไปกินช็อคมิ้นต์ คนที่เชิญก็บอกว่าเชิญด้วยเงื่อนไขแบบนี้’

คำว่าเงื่อนไขแบบนี้ของอนุทินตอนนั้น คือข้อตกลงให้กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทั้งหมดตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว

ด้านหนึ่งคงเป็นการสวนกลับไปในตัวว่า ใครกันแน่ที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษ?!

ในเวลาไล่เรี่ยกัน ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’  ผู้ทำหน้าที่กระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาให้เสมียนประเทศ ออกมาตอบคำถามแบบแทงกั๊ก เรื่องทักษิณจะจับมือกับพรรคการเมืองกลุ่มเดิมจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดภูมิใจไทยออกไปจากสมการ

สุริยะตอบแบบ ‘บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น’ ว่า ปกติหลังเลือกตั้ง เราก็จะมาดูผลแพ้ชนะว่าเป็นอย่างไร หากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมจับมือกันแล้วได้เสียงเกินไปเยอะ ก็ไม่จำเป็นต้องหาเสียงจากพรรคฝ่ายค้านเดิมมาร่วม แต่หากไม่เพียงพอ ก็ต้องไปพูดจากัน

เป็นคำพูดที่แสดงถึงความเก๋าทางการเมือง ไม่ปิดประตูลั่นดาล หลังเคยมีบทเรียนราคาแพง พลั้งปากประกาศไม่ขอรับตำแหน่งทางการเมืองผ่านหน้าจอทีวี จนต้องออกมาถอนคำพูดในตอนหลัง

หากมองกันแค่นี้ คงไม่เห็นภาพชัดนักระหว่าง ‘ทักษิณ-อนุทิน’  ที่ตัดกันไม่ขาด แต่ถ้าดูไปยาวๆ ก็จะเริ่มเห็นว่าสาระพัดเรื่องที่ไล่เช็คบิลกันเวลานี้ ถึงวันหนึ่งก็ต้องเปิดพื้นที่ให้มีการเจรจากันขึ้น เพราะแม้ภูมิใจไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว

แต่ภูมิใจไทยก็เป็นฝ่ายค้านที่ถือดุลอำนาจสภาสูงไว้ในมือ

ดังนั้น การผ่านกฎหมายทุกฉบับต้องอาศัยสภาสูง รวมถึงการรับรองกรรมการในองค์กรอิสระที่แต่งตั้งเข้าไปแทนตำแหน่งที่ว่าง ล้วนต้องผ่านสภาสูงทั้งสิ้น ซึ่งมีหลายคนผ่านการรับรองเข้าไปทำหน้าที่ในองค์กรหลักๆ บ้างแล้ว

ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลเสียง‘ปริ่มน้ำ’  กำลังเพลี่ยงพล้ำอย่างหนักทั้งจากสถานการณ์ชายแดน ที่ขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านผสมความแค้นส่วนตัวของสองตระกูล และปัญหาภาษีทรัมป์ที่ไม่รู้จะจบลงอย่างไร

ไม่นับนิติสงครามที่ตามไล่ล่าสองพ่อลูก?!

ในสถานการณ์แบบนี้ ‘ทักษิณ-อนุทิน’ จึงต้องเปิดการเจรจา แลกเปลี่ยนสินค้าทางการเมืองกันไปกลางสมรภูมิรบ เพราะฝ่ายหนึ่งครองอำนาจ อีกฝ่ายมีชะนักปักหลัง แต่ยังถือดุลอำนาจในสภาสูงไว้

อาวุธหนัก อาวุธเบา ที่จะประเคนเข้าใส่กันต่อจากนี้ผ่านกลไกสภา ไม่ว่าจะเป็นญัตติด่วนด้วยวาจา หรือจะจับรัฐบาล ‘ขึงพืด’ ผ่านการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ที่ใช้เสียงสส.เพียง 1 ใน 10 ซึ่งภูมิใจไทยสามารถยื่นได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งพรรคส้ม

ยกเว้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ต้องพึ่งพรรคส้ม เพราะใช้เสียง 1 ใน 5

ที่ผ่านมาจึงได้เห็นการทำหน้าที่ฝ่ายค้านน้องใหม่ในสภาของภูมิใจไทย ออกตัวแรงล้อฟรีมาตลอดในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ด้านหนึ่ง คงเกิดจากการเป็น ‘ฝ่ายค้านผสมแรงแค้น’  อีกด้านต้องเร่งเปิดแนวรบ เพื่อสร้างราคาต่อรอง

ตามสูตรสำเร็จของการต่อรองที่ทรงพลัง ‘ต้องรบไปเจรจาไป’ เพราะกำลังถูกฝ่ายที่ถืออำนาจรุกหนัก ตั้งแต่ที่ดินเขากระโดง ลงลึกไปถึงกัญชา ยาเสพติด เครือข่ายในระบบราชการที่วางไว้ตลดสองปี ถูกทะลายห้างลงในชั่วพริบตา

สุดท้าย ‘ทักษิณ-อนุทิน’ ยังต้องพึ่งพากันในหลายเรื่อง ที่ฝ่ายหนึ่งมีแต่อีกฝ่ายไม่มี ไม่จำเป็นต้องดึงภูมิใจไทยกลับมาเข้าร่วมรัฐบาลตอนนี้ แต่สามารถยื่นหมู ยื่นแมว แลกเปลี่ยนสินค้าทางการเมืองกันได้ ส่วนในอนาคตจะกลับมาร่วมรัฐนาวากันอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความลงตัวของเงื่อนไขการต่อรอง

นี่แหล่ะที่ ‘ทักษิณ-อนุทิน’ ตัดกันไม่ขาด.

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์