ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งรวมไทยสร้างชาติ กล้าธรรม ประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พรรคชาติไทยพัฒนา ต่างประสานเสียง "ไม่ถอนตัว" ออกจากการร่วมรัฐบาล เพราะมองปัญหาคลิปเสียงเป็นเรื่องส่วนตัวของ "ลุง-หลาน" แพทองธาร ชินวัตร - ฮุน เซน
แต่วันนี้ปัญหานั้น ถูกยกระดับขึ้นเป็นสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการสูญเสียเกิดขึ้นทั้งชีวิตทหาร ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ตลอดจนทรัพย์สินมากมาย ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอีกมหาศาล แถมต้องอพยพประชาชนอีกร่วมสองแสนคน
พิษสงครามทำเศรษฐกิจพังยับนับหมื่นล้านบาท
แม้สองพ่อลูก "ทักษิณ-แพทองธาร" จะปฏิเสธการสู้รบที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งของสองตระกูล "ฮุนเซน-ชินวัตร" แต่ก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกโยงถึง เพราะสถานการณ์แตกหัก มันพัฒนามาจากความขัดแย้งของสองครอบครัว
วันก่อน "ประชาธิปัตย์" หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ออกแถลงการณ์ให้เหตุผลในการอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไว้ 4 ข้อ ซึ่งเหตุผลข้อแรกเขียนไว้ว่า "เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศที่เผชิญอยู่ได้รับการคลี่คลายอย่างต่อเนื่องต่อไป"
หากจะถือเอาเหตุผลข้อนี้เป็นหลักในการอยู่ร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์คงต้องพิจารณาตัวเองว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ณ เวลานี้ ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ไร้หัว เพราะนายกรัฐมนตรี ถูกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ อันเนื่องมาจากคลิปเสียงเจ้าปัญหาที่ว่านั้น
และไม่เพียงอยู่ในสถานะ ครม.ที่ขาดหัวธรรมดา แต่บ้านเมืองยังอยู่ในภาวะวิกฤติสงครามที่ไม่ได้ประกาศกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงที่จะสูญเสียดินแดนและอธิปไตยสูง
เพราะฉะนั้น อย่าว่าแต่การบริหารราชการแผ่นดินปกติหรือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศ ที่ประชาธิปัตย์ยกมาอธิบายไว้เลย เวลานี้บ้านเมืองมีเดิมพันสูงถึงขั้นเสียแผ่นดินด้วยซ้ำ
ในภาวะที่บ้านเมืองเจอปัญหาใหญ่หลวง แต่อยู่ภายใต้รัฐนาวาที่ไม่มีกัปตัน ปล่อยให้คนในเรือมาถือหางเสือแทน ซึ่งผ่านการทดสอบจากเวทีเจรจาหยุดยิง ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียแล้วว่า ความสามารถอยู่ในระดับใด มีกึ๋นพอจะไว้ใจให้บังคับเรือที่ชื่อประเทศไทยฝ่ามรสุมใหญ่ต่อไปอีกได้หรือไม่
แม้คนโบร่ำโบราณจะห้ามไว้เรื่อง "เปลี่ยนเรือกลางลำธาร-เปลี่ยนม้ากลางศึก" แต่ถ้าเป็นเรือรั่วที่กำลังใกล้จะจมหรือม้าป่วยที่เดินต่อไปไม่ไหว ก็น่าจะเป็นข้อยกเว้น เพราะถ้ายังขืนใช้งานต่อ รังแต่จะเสี่ยงพากันไปตายทั้งหมด
เคยมีคนพูดถึงรัฐบาลนี้เอาไว้มาพักใหญ่ว่า "ความมั่นคงของรัฐบาล คือความไม่มั่นคงของประเทศ" วันก่อนอาจจะเห็นภาพไม่ค่อยชัดนัก แต่วันนี้สิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า มันฉายภาพให้เห็นคำพูดที่ว่านั้นได้อย่างแจ่มชัดยิ่ง
ไม่ได้เพรียกหาอำนาจพิเศษใดมาเปลี่ยนม้ากลางศึก แต่ใช้กลไกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่นั่นแหล่ะ ร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศ ให้มีผู้นำตัวจริง ที่ไม่ใช่รักษาการ และไม่ใช่ปล่อยให้ไอ้โม่งมาใช้อำนาจซ้อนทับอย่างที่เป็นมาตลอดสองปี
แต่ก่อนจะให้สภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ ก็ต้องให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลงก่อน ซึ่งจะให้เจ้าตัวยอมลงจากเก้าอี้ด้วยการลาออกเอง คงไม่ง่าย ครั้นจะให้รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก็คงอีกนาน อย่างเร็วสุดน่าจะเป็นช่วงหลังเดือนสิงหาคมไปแล้ว
หากรอถึงตอนนั้น กว่าถั่วจะสุกงาก็คงไหม้ ดีไม่มีดีกระทะก็จะไม่เหลือด้วย
จึงมีอยู่ช่องทางเดียวคือ พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคงไม่เฉพาะประชาธิปัตย์เท่านั้น รวมถึงพรรคอื่น ๆ ด้วย หากเห็นแก่อนาคตของประเทศ ต้องเลิกอุ้มพรรคเพื่อไทย-เพื่อใคร แล้วหันมาอุ้มประเทศไทยแทน รัฐบาลอิ๊งค์ก็ไปต่อไม่ได้
ส่วนจะให้ใครเป็นนายกฯ คนต่อไป ก็เอามาจากคนในบัญชีของพรรคการเมืองที่ยื่นต่อ กกต.ไว้นั่นแหล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ชัยเกษม นิติสิริ หรือเป็นใครก็ตาม เอามาสักคนหนึ่ง ให้มานั่งเป็นนายกฯ เต็มตัว ไม่ใช่ครึ่งผีครึ่งคนอย่างทุกวันนี้
เพราะเทียบกันแล้วคนในบัญชีที่เหลืออยู่ย่อมดีกว่าแพทองธารทุกคน
เรื่องนี้จะทำได้ไม่ได้ ก็อยู่ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง หรือเลือกกอดผลประโยชน์พรรคประโยชน์ส่วนตัวเอาไว้