วงข้าวมื้อค่ำกระชับมิตรของพรรคร่วมรัฐบาล ที่โรงแรมย่านพญาไท ในค่ำคืนที่ผ่านมา (22 ก.ค.68) นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ที่เปิดกว้าง ไม่จำกัดวงอยู่เฉพาะระดับแกนนำเพียงไม่กี่คนเหมือนทุกครั้ง
โดยการจำกัดจำเขี่ยวงข้าวพรรครัฐบาลที่ผ่านมา ทำให้หลายคนพาลคิดไปว่า เพราะไม่อยากให้มีแขกไม่พึงประสงค์บางคนมาร่วมวงด้วย ถึงขนาดที่บางครั้งเจ้าภาพคนจ่ายสตางค์ กับคนเชิญแขกเป็นคนละคนกันก็มี
ต่างจากค่ำคืนที่ผ่านมา เป็นดินเนอร์วงใหญ่ เปิดกว้างสำหรับสส.พรรคร่วมรัฐบาลทุกคน คงไม่ใช่เพราะต้องการเปิดทางให้ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ไม่มีตำแหน่งใด ๆ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานด้วย เพราะถูกวางตัวเป็นองค์ปาฐก หัวข้อ "เสถียรภาพทางการเมือง เพื่ออนาคตประเทศไทย" อยู่แล้ว
เอาเถอะ ในทางการเมืองอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ทุกอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนตาม ในวันที่ยังต้องพึ่งพาอาศัย ก็ต้องดูแลให้ความสำคัญ แต่วันใดที่หมดความหมายแล้ว ก็ผลักใสทิ้งแบบไม่ใยดี เป็นธรรมดา
แถมอาจถูกตะเพิดไล่หลังอีกต่างหากว่า "ไม่เป็นสุภาพบุรุษ"
งานเลี้ยงสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาลเมื่อคืน เกิดขึ้นในท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ทั้งจากปัญหาคลิปเสียงสนทนา "อิ๊งค์-อังเคิ้ล" ที่อยู่ระหว่างถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ รอการชี้ชะตาซึ่งไม่รู้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ในขณะที่รัฐบาลก็อยู่ในภาวะเสียงปริ่มน้ำ มีปัญหาองค์ประชุมแทบทุกสัปดาห์ อย่าว่าแต่จะผลักดันร่างกฎหมายสำคัญผ่านสภาเลย แม้แต่การพิจารณารับทราบรายงานประจำปีของหน่วยงานต่าง ๆ ยังติดขัด
ดังนั้น การพบปะกันเมื่อคืนของพรรคร่วมรัฐบาล ที่นายห้างมาปรากฏตัวเองนั้น ฟังดูจากการร่ายยาวบนเวที ซึ่งเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์การเมืองเมื่อ 51 ปีก่อน ที่บังเอิญมาตรงกับรัฐบาลหลายพรรคในพ.ศ.นี้เข้าพอดี
ตอนหนึ่ง ทักษิณเล่าถึงการทำหน้าที่ควบคุม สส.ให้มาโหวตกฎหมายสำคัญของรัฐบาลว่า "ต้องไปอยู่ในสภา ต้องไปไล่ตามหัวหน้าพรรคต่างๆ และทำบัญชี ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เพื่อให้ผู้แทนทั้งหลายได้อยู่ในสภาให้เรียบร้อยและมั่นใจว่าเราชนะโหวต ก็ประคองอยู่พักนึง และตอนหลังมีเหตุการณ์หลายอย่าง"
"วันนี้จากที่ผมมีประสบการณ์ 51 ปีแล้ว มีความรู้สึกว่าวันนี้ดีกว่าวันนั้นเยอะ และวันนี้ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นเด็กอายุ 25 ปี ที่วิ่งไล่ตะครุบ สส. ให้มาประชุม..วันนั้นยังต้องไปขอเงินคนอื่นมาใช้ วันนี้ยังพอมีเงินใช้น่าจะโอเคกว่า จึงมั่นใจว่าเราสามารถประคองรัฐบาลได้"
"สมัยก่อนรัฐมนตรีมีตั้ง 48-49 คน เขาดูแล 1 ต่อ 4 คน ดูแลกันได้อบอุ่น เชื่อว่าวันนี้ถ้าแต่ละพรรคแบ่งรัฐมนตรีให้ความอบอุ่นแก่สส. ก็จะมั่นคง เพราะบางครั้งหากไม่ดูแลก็จะถูกตีท้ายครัว หากดูแลดีๆ ก็ไม่ถูกใครตีท้ายครัว เพราะวันนี้เรามีพวกชอบตีท้ายครัวอยู่"
“ผมมั่นใจว่าวันนี้พวกเราทุกคนจะมีความสามัคคีกัน และเมื่อผมพ้นบ่วงของผมแล้ว ผมจะแวะไปเยี่ยมท่านทั้งหลาย ไปทุกจังหวัด แวะไปเยี่ยม ไปให้คำปรึกษา คำแนะนำ มีอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจ"
ยกหลาย ๆ ตอนมาให้อ่านซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้เห็นถึงสถานการณ์รัฐบาลปัจจุบัน ที่จะต้องออกแรงอย่างมากในการประคับประคอง แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรยืนยันว่ารัฐนาวาลำนี้จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง มีบางช่วงถึงขั้นให้คำมั่นจะกลับมาเป็นรัฐบาลร่วมกันอีกหลังเลือกตั้งเที่ยวหน้าก็ตาม
"จากการที่ได้พบปะหัวหน้าพรรคทุกคน ทุกคนยืนยันว่าเราจะไปด้วยกัน และผมบอกกับหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า ทีมนี้แหละที่เมื่อเลือกตั้งแล้วก็จะเป็นเพื่อนร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่ทิ้งกันขนาดนี้ก็ไม่ทิ้งกันตลอดไป"
หลายประโยคข้างต้น ฟังผ่าน ๆ อาจเป็นการให้ใจ ให้คำมั่น แต่ถ้าฟังแล้วคิดตาม จะเห็นการเมืองไทยเมื่อห้าสิบปีที่แล้วกับวันนี้ แทบจะไม่มีอะไรแตกต่าง ยังต้องวิ่งไล่ตะครุบสส.ให้มาประชุม ต้องทำบัญชี "ที่ละไว้ในฐานเข้าใจ"?!
สส.ที่ประกาศตัวเป็นผู้ทรงเกียรติ ไม่รู้จักรักษาเกียรติ ไม่รู้หน้าที่ตัวเองมานานแล้ว ที่สำคัญวัฒนธรรมการแบ่งรัฐมนตรีดูแลให้ความอบอุ่นสส.ก็มีสืบทอดมายาวนานเช่นกัน
ไม่รู้ผู้ทรงเกียรติที่อยู่ในงานเลี้ยง จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับคำพูดเหล่านั้นบ้างหรือเปล่า?
สรุปงานเลี้ยงสส.พรรคร่วมรัฐบาลเมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นมื้อแรกหรือมื้อสุดท้ายก็ตาม มันน่าจะหมายถึงอนาคตรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และความอยู่รอดของสองพ่อลูกมากกว่าจะเป็นอนาคตประเทศไทย