ศุกร์ 29 สิงหาคม 2568 จุดเปลี่ยนการเมืองไทย

28 ส.ค. 2568 - 03:19

  • ลุ้นผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีคลิปเสียง ‘ลุง-หลาน’

  • จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเมืองไทย

  • นายกฯ เป็นใครอาจเป็นเพียงการประคองสถานการณ์ชั่วคราว

ศุกร์ 29 สิงหาคม 2568  จุดเปลี่ยนการเมืองไทย

วันที่ 29 สิงหาคมนี้ ไม่ว่าผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปมคลิปเสียง "ลุง-หลาน" จะออกมาเป็นบวกหรือลบต่อ แพทองธาร ชินวัตร แต่มันคือ การเริ่มต้นนับหนึ่งของจุดเปลี่ยนการเมืองไทย

ต่อให้แพทองธาร อยู่รอดปลอดภัยตามความเชื่อของคนในเพื่อไทย ที่เตรียมยกขบวนแห่แหน แตร๊น แตร๋นแต้ พากันไปแสดงความยินดีต่อการกลับมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปนานร่วมสองเดือน

แต่การกลับมาในสภาพที่ศรัทธาเสื่อมทรุด หดหายของแพทองธาร จะเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์การเมืองทั้งในสภาและนอกสภาร้อนแรงขึ้น จนไม่สามารถผลิตผลงานใด ๆ ออกมาได้

ในสภาแพทองธาร ต้องเจอกับการตรวจสอบจากฝ่ายค้าน ผ่านอาวุธที่ทรงพลังทั้งการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 และการยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ซึ่งพรรคภูมิใจไทย ประกาศจองกฐินรอไว้ล่วงหน้าแล้ว

ประเด็นปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา จะเป็นหัวเชื้ออย่างดีของฝ่ายค้านที่จะนำมาซักฟอก แม้จะผ่านการรับรองจากศาลรัฐธรรมนูญมา แต่ก็ไม่มีข้อห้ามใดหากฝ่ายค้านจะจับแพทองธารขึ้นขาหยั่งในสภาอีกครั้ง

ลำพังเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาลเวลานี้ ก็อยู่กันแบบถูลู่ถูกัง จะลงมติแต่ละทีต้องกดออดเรียกแล้วเรียกอีก ล่าสุดแม้แต่การเปิดประชุมสภาแท้ ๆ ยังต้องเสียเวลารอนานเป็นชั่วโมง

ดังนั้น หากต้องมาเจอศึกหนัก ถูกฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาพที่รัฐบาลเครื่องรวน  เสียงปริ่มน้ำขนาดนี้ จะมีอะไรเป็นหลักประกัน ไม่ให้มีการแตกแถวเกิดขึ้นในพรรคร่วมรัฐบาล

ไม่นับแรงบีบจากพรรคร่วมรัฐบาลที่จะขึ้นขี่คอถึงขั้นให้เปลี่ยนตัวนายกฯ กันหรือเปล่า

ส่วนนอกสภาไม่ต้องพูดถึง รัฐบาลต้องเจอศึกใหญ่หลวงพอ ๆ กับสงครามเก้าทัพ เพลงดาบแม่น้ำร้อยสายจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่เอารัฐบาล ซึ่งอุ่นเครื่องกันมาพักใหญ่ คงถูกบรรเลงพร้อมกับยกระดับการชุมนุมตามที่ประกาศไว้

ถึงวันนั้น ทีมงานแพทองธาร ต้องไปถอดบทเรียนสมัย ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ถูกม็อบล้อมทำเนียบรัฐบาลมาปรับใช้ ซึ่งแรก ๆ คงต้องใช้วิธีจัดโปรแกรมเดินสายต่างจังหวัด แต่อาจไม่เหมาะกับแพทองธารที่ลูกยังเล็ก

นี่คือสิ่งที่รัฐบาลแพทองธารต้องเผชิญ หากรอดคมดาบศาลรัฐธรรมนูญ กลับมาเป็นนายกฯ ต่อ

แต่หากแพทองธารไม่รอด ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปด้วยผลของกฎหมาย สภาต้องโหวตเลือกนายกฯ กันใหม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 ประกอบมาตรา 88 ซึ่งมีผู้อยู่ในข่ายได้รับการเสนอชื่ออยู่ 5 คน ได้แก่ ชัยเกษม นิติสิริ  อนุทิน ชาญวีรกูล  พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค  จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เอาชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้ท้ายสุด เพราะปัจจุบันดำรงตำแหน่งองคมนตรี พ้นจากการเมืองไปแล้ว แต่ยังมีรายชื่ออยู่ในบัญชีของพรรคการเมือง ซึ่งถือว่ายังมีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ เพียงแต่อาจจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากสักหน่อย

ทีนี้การเปลี่ยนแปลงอย่างหลังนี้ จะทำให้บรรยากาศการเมืองได้คลายตัวลงมา ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปก็ตาม เพราะได้พ้นจากความจำเจที่อยู่แบบไม่มีความหวัง หาทางออกให้กับบ้านเมืองไม่ได้

ส่วนนายกฯ คนใหม่จะเป็นใคร หากดูจากรายชื่อข้างต้นแล้ว คนที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น คือ ชัยเกษม นิติสิริ รองลงมาก็เป็น "อนุทิน-พล.อ.ประยุทธ์" น่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งในจำนวนสามคนนี้เท่านั้น

แต่เต็งหนึ่งอย่างชัยเกษม ไม่แน่อาจจะเป็น "เต็งหาม" ที่ถึงเวลาต้องหามออกไปก่อน

เนื่องจากการเมืองหลังวันที่ 29 สิงหาคม ยังเต็มไปด้วยกับระเบิด ทั้งที่เพิ่งนำมาวางใหม่และบางลูกถูกฝังไว้นานแล้ว การจะเปลี่ยนแปลงใด ๆ จึงต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง พอ ๆ กับการออกลาดตระเวนของทหารที่ปราสาทตาควายนั่นแหล่ะ

สุดท้ายไม่ว่าจะเปลี่ยนอย่างไร ใครจะอยู่หรือใครจะมา ก็เป็นได้แค่การปะผุ ขัดตาทัพในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะการเมืองจะเป็นช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง ที่อย่างช้าสุดไม่เกินต้นปี 69 ต้องเข้าคูหาไปหย่อนบัตรกันใหม่

ไม่ว่าจะเป็นคนเก่า-คนใหม่ การเมืองไทยก็นับถอยหลังเอวังอยู่ดี

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์