ไม่ใช่เพราะประกาศจะนำโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมรดกจากยุครัฐบาลลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาปัดฝุ่นใช้อีกครั้งเท่านั้น
แต่การจัดเก้าอี้ ครม.รัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ซึ่งมีเวลาค่อนข้างจะจำกัดด้วยเหตุผลทางการเมือง มองไปทางไหนจึงล้วนแต่เป็นการหารสองทั้งสิ้น หรือจะเรียกเป็น ครม.คนละครึ่ง ก็คงไม่ผิดนัก
อย่างแรก เป็นการหารสอง คนละครึ่ง ระหว่างการเอาคนนอกซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน และเป็นที่ยอมรับของสังคม หรืออย่างน้อยก็พอไปวัดตอนสาย ๆ ได้ มาร่วมเป็นเสนาบดี กับอีกครึ่งมาจากคนการเมือง ที่ต้องจัดแบ่งเค้กว่ากันตามสูตรคณิตศาสตร์
ใครระดมกันมาได้มากน้อยก็แบ่งปันเก้าอี้ตอบแทนน้ำใจกันไปตามฐานานุรูป
ที่สำคัญสัดส่วนของคนนอกแม้จะมีเพียง 6-7 เก้าอี้ ไม่ถึงครึ่งของ ครม.ก็ตาม แต่ด้วยชื่อชั้นและต้นทุนที่สูง คงเปล่งออร่า สร้างสมดุล กลบภาพลักษณ์กระดำกระด่างของเสนาบดีที่มาจากโควตาฝ่ายการเมืองได้บ้าง
ชื่อคนนอกที่ถูกเปิดออกมาในเบื้องต้นทั้ง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือแม้แต่คนล่าสุด ศุภจี ศุธรรมพันธุ์ แม่ทัพหญิงแห่งดุสิตธานี ดูจะเติมความหวังให้ได้ไม่น้อย
ยกเว้นบางคนที่ยังมีกรรมเก่าติดตัวอยู่ ก็คงให้พิสูจน์ด้วยฝีมือการทำงานหลังเข้ารับตำแหน่งแล้ว
ในจำนวนรายชื่อคนนอกข้างต้น คนที่คอการเมืองฟังแล้วสะดุดหู ชนิดต้องหันขวับตามเสียงเรียก คือ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่นายกฯ อนุทิน พอกล่อมสำเร็จ ก็นำภาพมาโพสต์ลงเฟสบุ๊ก ติดแฮซแทร็ก #เปิดเผย #โปร่งใส #ตรงไปตรงมา
ว่ากันว่ารายหลังนี้ ต้องการใช้เป็นผ้ายันต์การเมือง ป้องกันการทวงถามเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจากพรรคส้ม เพราะประสบการณ์จากการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับพลเมืองเป็นใหญ่ ในยุค คสช.ที่บังเอิญเหาะเหินเกินลงกาไปหน่อย เลยถูกสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) ตีตกไปเสียก่อน
แต่อย่างน้อยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดของอาจารย์บวรศักดิ์ ก็ได้สร้างภาพจำเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญไว้ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะคำว่ เยอรมันโมเดล สัดส่วนผสม ที่ต่อมาคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชุด มีชัย ฤชุพันธุ์ เอามาปรับใช้เป็นระบบ จัดสรรปันส่วนผสม ในรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
นอกจากนั้น อาจารย์บวรศักดิ์ ยังได้ทิ้งวรรคทองเป็นอมตะวาจาไว้ หลังรัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นถูก สปท.คว่ำกลางสภาคือคำว่า "เขาอยากอยู่ยาว" ซึ่งเป็นทั้งคำตอบและคำสารภาพในเวลาต่อมาว่า ทำไมรัฐธรรมนูญที่ยกร่างถึงถูกฉีกทิ้ง
อาจารย์บวรศักดิ์ จึงน่าจะตอบโจทย์เหมาะกับงานแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันเป็นเงื่อนไขสำคัญของพรรคสีส้ม ที่รัฐบาลอนุทินตกปากรับคำต้องทำภายใน 4 เดือน นับจากวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ส่วนคนละครึ่งของฝ่ายการเมืองในรัฐบาลอนุทิน มีทั้งที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน แต่อยู่กันคนละกลุ่ม อาทิ พรรคพลังประชารัฐ ได้ไป 4 เก้าอี้รัฐมนตรี ก็แบ่งปันกันระหว่างกลุ่มมะขามหวาน กลุ่มปราจีนบุรี และกลุ่มบ้านป่า โดยกลุ่มมะขามหวานได้ไปมากหน่อย เพราะไปสมาทานศีลเป็นมะขามหวาน "สีน้ำเงิน" ไปแล้ว
ในขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งแตกออกเป็น 3 ก๊ก แต่ปล่อยฟรีโหวต ไม่ได้มีมติให้เข้าร่วมรัฐบาล ดังนั้น แม้เทเสียงโหวตเลือกอนุทินเป็นนายกฯ มากถึง 33 เสียง แต่มีเพียงกลุ่ม สุชาติ ชมกลิ่น จำนวน 16 เสียง ที่ไปแสดงตัวเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง
ทำให้กลุ่มที่มาตอนหลัง หรือแม้แต่กระเช้าดอกไม้แสดงความยินดีจาก พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่เพิ่งมีไปถึงพรรคภูมิใจไทยเมื่อวาน จึงไม่ถูกนำมาคำนวณเก้าอี้รัฐมนตรีให้ ทั้ง สุชาติ ชมกลิ่น ธนกร วังบุญคงชนะ จึงต้องทิ้งเก้าอี้ สส.ไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีแบบวิถีโค้งแทน
เช่นเดียวกับ 4 สส.ประชาธิปัตย์ และ 8 สส.เพื่อไทย ที่โหวตเลือกอนุทิน ก็ต้องใช้วิธีหา นอมินี สตั้นแมนการเมือง มารับตำแหน่งรัฐมนตรีแทนเช่นกัน เพราะพรรคต้นสังกัดของสส.ทั้ง 10 คน ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลด้วย
ด้วยเหตุผลประการทั้งปวงที่ว่ามา รัฐบาลอนุทินจึงไม่ต่างอะไรกับเป็น "ครม.คนละครึ่ง" ไม่นับสีส้มที่ถูกมองมีสองสถานะ สวมหมวกสองใบ เป็นฝ่ายค้านกับเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลในคราวเดียวกัน
การเมืองไทยใน พ.ศ.นี้ จึงเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์รอบ 93 ปี ที่ประชาธิปไตยไทยก้าวเดินมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่ทั้งประชาธิปไตยครึ่งใบ ค่อนใบ แต่เป็นประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลมาจากการสนับสนุนของทุกฝ่าย จนเกิด "ครม.คนละครึ่ง" ตามมาในที่สุด