โบราณว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม แต่คงนำมาใช้กับการเมืองไม่ได้ เพราะขืนช้าไปแค่ก้าวเดียว อาจพลาดตกขบวนรถไฟได้ หรือไม่ก็ทำให้เกมเปลี่ยนไปอีกแบบ แทนที่จะเป็นเจ้าของรัฐบาล คอยคุมเกมสั่งซ้ายหันขวาหัน ต้องไปนั่งคอตกเป็นฝ่ายค้านยาวอีกสองปี
ที่พูดนี้หมายถึงพรรคประชาชน หรือพรรคส้ม ชายหนุ่มเนื้อหอม ผู้เป็นที่หมายปองของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ที่ต่างยินดีรับเงื่อนไขทุกข้อไปปฏิบัติ บางพรรคพร้อมจะทำให้ก่อน 4 เดือนด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาสองปี ไม่มีอะไรเป็นโล้เป็นพาย
จึงไม่แปลกที่พรรคส้มจะตัดสินใจลำบาก ระหว่างสองพรรคนี้จะเท 143 เสียง หนุนให้คนพรรคไหนเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปดี พริษฐ์ วัชรสินธุ หนึ่งในแกนนำพรรคส้ม ยอมรับว่าทั้งสองพรรคไว้ใจไม่ได้ทั้งคู่
"พูดตรงๆ ไม่ไว้ใจทั้งคู่ แต่ก็ต้องมาประเมินความเสี่ยงกันว่า จากสาระและท่าทีที่เราเห็น ชั่งวัดกันด้วยหลักฐานว่าอันไหนมีความเสี่ยงน้อยกว่า"
การที่พรรคประชาชน ไม่ได้มีมติใด ๆ ออกจากที่ประชุมพรรคเมื่อวาน(1ก.ย.68) และนัดพูดคุยหาข้อสรุปกันต่อในวันนี้(2ก.ย.68) ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลที่ "ไอติม" ให้สัมภาษณ์ไว้ หรืออาจจะมีเหตุผลที่มากกว่านั้นก็ตาม
เพราะในที่ประชุมพรรคส้มเมื่อวาน สรุปความแล้วมีความเห็นออกไป 3 ทาง คือ บางส่วนให้เลือกคนของพรรคเพื่อไทย บางส่วนให้เลือกคนจากพรรคภูมิใจไทย และบางส่วนไม่โหวตให้ทั้งสองพรรค ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป
แน่นอนว่า กลุ่มที่เลือกพรรคเพื่อไทย ต้องเป็นกลุ่มของผู้นำจิตวิญญาณ ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นเคยประกาศความเป็นพรรคพี่พรรคน้องกันมาก่อน และล่าสุดตามข่าวถึงขั้นที่ระดับหลังบ้านของทั้งสองพรรคลงมาดีลเองด้วย
ส่วนกลุ่มให้หนุนพรรคภูมิใจไทย คงเป็นเพราะต้องการถอยห่างออกจากการเป็นลูกไล่ของเพื่อไทย รวมทั้งเห็นว่า การสร้างแนวร่วมกับภูมิใจไทย นอกจากจะได้พันธมิตรใหม่ ยังได้ทะลายกำแพงที่ขวางกั้นพรรคส้ม สร้างความคุ้นเคยกับสายอนุรักษ์ไปด้วยในตัว
ที่สำคัญความเป็นพรรคใหญ่ 143 เสียงของพรรคส้ม น่าจะคอนโทรลพรรคภูมิใจไทยที่มีเพียง 69 เสียง ได้ง่ายกว่าไปควบคุมพรรคเพื่อไทยที่มี 140 เสียง
ในขณะที่กลุ่มไม่เอาทั้งสองพรรค คงจะเห็นว่าไหนๆ เพื่อไทยก็เจอทางตันไปต่อไม่ได้ ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่อยู่ดี ก็ถือโอกาสบีบให้ยุบสภาเสียเลย ไม่ต้องเข้าไปแบกทั้ง "แดง-น้ำเงิน" นั่นแหล่ะ
แต่เสียงพรรคส้มที่แตกออกเป็นสามเสี่ยงนั้น ลึก ๆ แล้วคนในพรรคเองก็กังวลไม่น้อย เกรงจะเป็นการเปิดทางให้ทั้งสองพรรคหันกลับมาจับมือกันอีกครั้ง ซึ่งไอติมเป็นคนมองเรื่องนี้ไว้ว่า
"หากเราอยู่เฉย ๆ แล้วงดออกเสียง จะเกิดอะไรขึ้น เราจึงมองไปถึงความน่ากังวลว่า ปัจจุบันที่ทั้งแดง และน้ำเงิน ไม่สามารถรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง เขาจะไหลกลับไปรวมกัน หากเขาไปรวมกันก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และมีแนวโน้มที่จะอยู่ครบวาระในอีกเกือบ 2 ปี ซึ่งขัดกับจุดยืนของเรา ที่ต้องการการเลือกตั้งโดยเร็ว"
ประเด็นนี้ไม่ว่าไอติม จะคิดจากสมมติฐานไหนก็ตาม แต่เป็น 1 ใน 3 ทางเลือก ที่ถูก ทักษิณ ชินวัตร ออกแบบไว้รองรับสถานการณ์การเมืองก่อนหน้านี้ คือ หนึ่ง ผลักดันเอา ชัยเกษม นิติสิริ หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ขึ้นเป็นนายกฯ สอง กลับไปจับมือกับภูมิใจไทย แต่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯ และสาม ยุบสภา ไปตายเอาดาบหน้า
เพราะฉนั้น มุมวิเคราะห์ของไอติม ก็น่าจะมาจากหลักคิดตรงนี้ ส่วนจะระงับยับยั้งไม่ให้สิ่งที่กังวลเดินไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร ขึ้นอยู่กับพลพรรคสีส้มเองว่า จะมองการเมืองได้ทะลุปรุโปร่งแค่ไหน โดยเฉพาะการเมืองแบบไทย ๆ ที่มีอะไรมากกว่าที่เห็นและที่ต่างคนต่างคิด
การเมืองไทยไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองเสมอไป
วันนี้หากพรรคส้มตัดสินใจผิดหรือช้าไปแค่ก้าวเดียว อาจเปิดทางให้ "ตาอยู่" คว้าเก้าอี้นายกฯ ไปนั่งยาวก็ได้