Deep SPACE เปิดออกมาให้เห็นชัดเจนกันไปทุกร่างแล้ว สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่จะนำไปสู่การทำประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น โดยพรรคประชาชน กับภูมิใจไทย ยื่นนำร่องไปก่อน รออีกร่างของเพื่อไทย แต่จากกระบวนการและเวลาที่มี ก็คงไม่ต้องคาดหวัง สูงนัก ติดตามใน Deep SPACE..ลึกกว่าที่รู้
โดยมีสาระสำคัญถี่ห่างแตกต่างกันตรงที่มา สสร.ซึ่งสองพรรค ‘ภูมิใจไทย-เพื่อไทย’ พยายามหลบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ให้ประชาชนเลือกผู้มายกร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ซึ่งใช้วิธีเลือกทางอ้อมเหมือน สสร.ปี 2539
แต่ของพรรคประชาชน ยังยึดโยงกับประชาชน ด้วยการให้ประชาชนเป็นผู้เลือกโดยตรง ก่อนจะส่งให้สภาเลือกเอาครึ่งหนึ่งของที่ประชาชนเลือกมา เช่น ผู้ร่างจำนวน 70 คน ที่สมัครเป็นกลุ่มใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง หลังได้ทั้ง 70 คนมาแล้ว ให้สภาเลือกเหลือ 35 คน
เช่นเดียวกับสภาคณะที่ปรึกษา ที่มาจากแต่ละจังหวัดตามสัดส่วนประชากร จำนวน 200 คน ก็ให้สภาเลือกเหลือ 100 คน มาทำงานคู่ขนานกับคณะผู้ร่าง 35 คน
เอาเป็นว่า ร่างฉบับพรรคประชาชน เริ่มจากการให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เลือกผู้สมัครทั้งสองกลุ่มโดยตรง ส่งให้สภาเลือกเหลือครึ่งหนึ่ง ถือเป็นการเลือกทางอ้อมในความหมายของศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่พรรคประชาชนเข้าใจ
ส่วนอีกสองพรรค กลุ่มแรก ให้‘ผู้สมัครเลือกกันเอง’ ในระดับจังหวัด 200-300 คน จากนั้น ส่งให้สภาเลือกเอา 77-100 คน ส่วนกลุ่มหลังให้มาจาก‘การสรรหา’ของสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง
รวมเป็นสสร. จำนวน 99-151 คน และให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต่างหากอีก 27-45 คน โดยส่วนหนึ่งมาจาก สสร.และอีกส่วนมาจากผู้เชี่ยวชาญที่แต่งตั้งขึ้น
งานนี้สแกนดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ‘สูตรอ้อมหน้าอ้อมหลัง’ ของภูมิใจไทยกับเพื่อไทย หรือในแบบฉบับของพรรคประชาชน ที่ให้ประชาชน‘เลือกโดยตรง’ แล้วค่อยมาอ้อมนิดๆ ในชั้นของสภาที่ให้เลือกเอาแค่ครึ่งเดียว
ทั้งหมดล้วนมีที่มาจากฝ่ายการเมืองด้วยกันทั้งนั้น เพราะไม่ว่าจะสมัครแบบเป็นกลุ่มหรือสมัครเดี่ยวๆ ให้ประชาชนเลือก หรือว่าให้เลือกกันเอง ก็ล้วนมาจากกลุ่มก้อน เครือข่ายของพรรคการเมือง ที่มาในเสื้อคลุมของกลุ่มต่างๆ ที่อุปโลกน์กันขึ้น โดยมีคนการเมืองคอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
เพราะกลุ่มอาชีพต่างๆ คงมีน้อยมากที่จะดิ้นรนขวนขวาย เพื่อให้ตัวเองได้เข้ามาเป็นสสร.หรือต่อให้มีก็คงไม่สามารถผ่านทะลุรอบสุดท้ายเข้ามาได้ ท้ายสุดไม่ว่าจะใช้สูตรไหนเลือก สสร.ก็จะถูกพรรคการเมือง‘กินรวบ’ทั้งหมดนั่นแหล่ะ
ทีนี้โอกาสที่การแก้รัฐธรรมนูญหนนี้จะแท้งเสียก่อน มีความเป็นได้สูงมาก เมื่อดูจากไส้ในของร่างพรรคภูมิใจไทย ที่เสนอในนามของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีทั้ง ‘จุดสลบและจุดตาย’ อยู่ในร่างเดียวกัน ได้แก่
ประเด็นแรก ร่างนี้มีการแก้ไขตั้งแต่มาตรา 256 ที่ให้ปรับลดสัดส่วนจำนวนเสียงสว.ที่ร่วมลงมติเห็นชอบ จากเดิมไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เป็นไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 แทน คือ ยังรักษาดุลอำนาจ เอาใจ สว.ไว้อยู่ ซึ่งคนละหลักการกับพรรคประชาชน ที่ให้ตัดอำนาจสว.ทิ้ง
ประเด็นที่สอง น่าจะเป็นจุดตายที่ทำให้ร่างนี้ไม่สามารถผ่านสภาไปได้ เพราะกำหนดเนื้อหาของการร่างรัฐธรรมนูญ ห้ามเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ รวมไปถึงแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ในรัฐธรรมนูญ 2560
สรุปห้ามแตะหมวด 1 หมวด 2 โดยเด็ดขาด
ประเด็นที่สาม เมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้นำเสนอต่อรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ให้นำเงื่อนไขของการรับหลักการและเห็นชอบในมาตรา 256 ที่ต้องได้เสียงสนับสนุนจาก สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 และสส.ฝ่ายค้าน ร้อยละ 20 มาบัญญัติไว้ด้วย
ประเด็นที่สี่ ให้รัฐสภามีอำนาจ ‘ตีตก’ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากพบเนื้อหาที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง หรือแก้ไขหมวด 1 หมวด 2
ประเด็นสุดท้าย ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญถูกตีตก ให้อำนาจครม.หรือ สส.จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของทั้งสองสภา เสนอญัตติต่อรัฐสภา ให้มีมติจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อีก 1 ครั้ง
อย่างหลังสุด เหมือนจะเปิดช่องให้ ‘แก้มือ’ ได้อีกครั้ง หากมีบางจุดพลาดพลั้งไปในการยกร่างครั้งแรก แต่คงเป็นการเขียนเผื่อเอาไว้มากกว่า เพราะหัวใจสำคัญที่พรรคประชาชนต้องการ คือ รื้อทำขึ้นใหม่ทั้งฉบับ แบบไม่มีข้อยกเว้น
งานนี้คงต้องวัดใจชาวพรรคสีส้ม ว่าจะยอมเออออห่อหมกไปด้วยหรือไม่ เพราะหากไม่เอาด้วย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็คง ‘แท้ง’ ตั้งแต่แรก ไม่ต้องเสียเวลาไปทำประชามติ หนึ่งคำถามหรือสองคำถาม ให้ประชาชนสับสนเพิ่มในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
ไปรอลุ้นกันว่า ฝ่ายการเมืองจะได้กินรวบ สสร. หรือการแก้ไขมาตรา 256 จะเกิดอาการรกพันคอแท้งเสียก่อน.