4 ฉากทัศน์การเมือง หลังศาลรธน.ชี้ชะตา ‘อิ๊งค์’

21 ส.ค. 2568 - 03:00

  • 4 แพร่งหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินกรณีคลิปเสียงลุงกับหลาน

  • -การเมืองเริ่มขยับหาช่องทาง เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น

  • โพลล่าสุดประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายนักการเมือง และไม่เชื่อมั่นรัฐบาลมากขึ้น

4 ฉากทัศน์การเมือง หลังศาลรธน.ชี้ชะตา ‘อิ๊งค์’

หลายฝ่ายกำลังเฝ้าจับตามองการเมืองหลังวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ประเทศไทยจะไปต่ออย่างไร หลังมีคำตอบจากศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง‘ถอดถอน’ แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งงานนี้ออกได้แค่สองหน้า คือ ‘ผิดกับไม่ผิด’ ไม่หัวก็ก้อย ไม่มีตรงกลาง

ส่วนจะไปต่ออย่างไรนั้น ไล่เรียงดูแล้วน่าจะไม่หนีไปจาก 4 ฉากทัศน์ต่อไปนี้

ฉากทัศน์แรก ไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าผลออกมาว่า‘ไม่ผิด’ ไม่ว่าจะด้วยเสียงเท่าไหร่ ตรงตามที่ร่ำลือตีปลาหน้าไซกันไว้หรือไม่ ย่อมทำให้ ‘อิ๊งค์-แพทองธาร’ กลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ได้เหมือนเดิม และมีความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปตามกติกา

ส่วนจะอยู่ได้สั้น-ยาวขนาดไหน ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยทางการเมืองจะเอื้ออำนวยให้

ฉากทัศน์ที่สอง ถ้าผลออกมาเป็นลบ ‘ต้องพ้น’ จากตำแหน่งไปตั้งแต่วันที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้ง ครม.ชุดปัจจุบันก็ต้องพ้นไปด้วย แต่ยังต้องอยู่ทำหน้าที่รักษาการต่อไปจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีและครม.ชุดใหม่มารับไม้ต่อ

เมื่อเป็นเช่นนี้ สภาผู้แทนราษฎร ก็ ‘ต้องเลือก’ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งหากขั้วเดิมยังจับมือกันแน่น ไม่มีใครแตกแถวไปไหน พรรคเพื่อไทยที่ยังเป็นแกนนำ ก็เสนอชื่อ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในบัญชี ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

ส่วนจะเกิดการขัดลำกล้อง มีใครติดใจสงสัยเรื่องปูมหลังความเป็นมาอะไรหรือไม่ ก็ต้องไปเคลียร์กันเอาเอง

ฉากทัศน์ที่สาม หากขั้วเดิมรวมกันไม่ติดหรือมีการแตกแถว ก็จะเกิด‘การรวมขั้วใหม่’ ขึ้นและเสนอชื่อคนของตัวเองที่เห็นว่าเหมาะสมให้สภาโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ซึ่งก็ต้องเป็นคนจากในบัญชีของพรรคการเมืองนั่นแหล่ะ

แนวทางนี้อาจยุ่งยากซับซ้อนไปสักหน่อย เพราะต้องรวมขั้วกันใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าขั้วนี้คงไม่มีพรรคเพื่อไทยรวมอยู่ด้วย เว้นเสียแต่จะเป็นการ ‘รวมกันเฉพาะกิจ’ ภายใต้เงื่อนไขพิเศษบางประการ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ฉากทัศนสุดท้าย คือ ‘การยุบสภา’ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ หากการเมืองเดินมาถึงจุดที่เป็นทางตันจริงๆ เจรจาต่อรองกันไม่ลงตัว ประมาณว่า ถ้าข้าไม่ได้เป็น เอ็งก็อย่าหวังจะได้เป็นเลย

ส่วนที่มีนักกฎหมายบางคนบอกว่า รักษาการนายกฯ ไม่มีอำนาจยุบสภา ก็มีนักกฎหมายระดับกูรูอีกเหมือนกันบอกไว้ว่าทำได้ เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีรักษาการนายกฯ คนไหนทำเท่านั้นเอง

‘ถ้าเสนอขึ้นไปแล้วทรงโปรดเกล้าฯ ลงมา ก็แสดงว่าทำได้’ นักฎหมายใหญ่คนหนึ่งพูดเอาไว้แบบนี้

ทีนี้การยุบสภา ที่บางพรรคการเมืองเรียกร้องมาตลอด เพราะเชื่อว่าตัวเองกระแสดีและสามารถขี่กระแสกลับเข้าสภาได้สบายๆ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานการณ์ที่เพลี่ยงพล้ำ ขืนยุบสภาหนีมีแต่ตายกับตาย จึงไม่กล้าเล่นเกมนี้

ยุบสภาเมื่อไหร่ก็ไปเข้าทางพรรคการเมืองคู่แข่งเมื่อนั้น

แต่หลังเกิดปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ความเชื่อมั่นที่มีต่อพรรคการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านลดลงแบบฮวบฮาบ ไม่มีใครดีไปกว่าใคร พูดง่ายๆ ถ้าเลือกตั้งกันวันนี้ พรุ่งนี้ ก็จะไม่เลือกคนเก่า-พรรคเก่ากลับเข้ามาอีก

สาปส่งไม่เอาทั้งสส.เขตและสส.บัญชีรายชื่อ

เมื่อสถานการณ์พลิกผันแบบนี้ พรรคการเมืองหรือผู้สมัครที่อาศัยกระแส ก็ตายอย่างเขียด ไปเข้าทางกลุ่มบ้านใหญ่ ที่มีเครือข่ายฐานเสียงจัดตั้งชัดเจน คนยิ่งเบื่อการเมืองมากเท่าไหร่ มาใช้สิทธิกันน้อยๆ พากันไปกาช่องโหวตโนกันมากๆ ยิ่งเข้าทางนักการเมืองกลุ่มบ้านใหญ่

มีหวังได้‘นอนมา’ กันทุกสนามโดยไม่ต้องมีพระนำ

ด้วยเหตุนี้กระมัง การยุบสภา ที่บางพรรคการเมืองกล้าๆ กลัวๆ อาจจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่มีทางออก และอาจได้เห็นการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดกันไว้

ทั้งสี่ฉากทัศน์ที่ว่า น่าจะเป็นคำตอบของการเมืองไทย หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายกฯ อิงค์ ในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมนี้ ส่วนจะออกหน้าไหนก็ขึ้นกับเวรกรรมและวาสนาของบ้านเมือง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์