ส่องสถานการณ์ร้อนชายแดนไทย-กัมพูชา EP.2 ถอดบทเรียนสมรภูมิ 5 วัน ยกระดับ ‘ยุทธบดินทร์68’ สู่การรบแบบ “รู้เขา” และ “รู้เรา”

19 พ.ย. 2568 - 02:55

  • บทเรียนจากสมรภูมิรบ 5 วัน ทำให้กองทัพของไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือหากมีการเปิดศึกครั้งใหม่

  • ปรับแผนยุทธการและยุทธวิธี เป็นหน่วยพร้อมรบเฉพาะกิจในสงครามรูปแบบใหม่ ตรึงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

ส่องสถานการณ์ร้อนชายแดนไทย-กัมพูชา EP.2 ถอดบทเรียนสมรภูมิ 5 วัน ยกระดับ ‘ยุทธบดินทร์68’ สู่การรบแบบ “รู้เขา” และ “รู้เรา”

การรบตลอด 5 วัน ในสมรภูมิไทย - กัมพูชา แม้ฝ่ายไทยจะสามารถเข้าครอบครองพื้นที่สำคัญตลอดแนวชายแดนเพิ่มขึ้นหลายจุด รวมทั้งสามารถยันการรุกของฝ่ายกัมพูชาที่โถมเข้าใส่พื้นที่ปราสาทตาเมือนธมเอาไว้ได้ก่อนเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 

แต่จากการประเมินผลการรบตลอดทั้ง 5 วัน ได้ข้อสรุปว่า ชัยชนะสำคัญของฝ่ายไทยที่มีต่อกัมพูชา คือ การครองความได้เปรียบเหนือน่านฟ้า ที่ไทยเป็นฝ่ายรุกเข้าปฏิบัติการทิ้งระเบิด และยิงจรวดเข้าใส่ฐานที่มั่นสำคัญของกัมพูชา จนสามารถตรึงกำลังรบของกัมพูชาไม่ให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ 

โดยเฉพาะการสะกดจรวด BM-21 ของกัมพูชาไม่ให้เคลื่อนออกจากที่ซ่อน ออกมายิงถล่มฐานที่มั่นได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเกรงว่า จะตกเป็นเป้าการโจมตีของ F-16 และฝูงบินกริพเพนของฝ่ายไทย

ส่วนการรบในระดับภาคพื้นดิน ต้องยอมรับว่า ฝ่ายไทยมีโอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำ หรือสูญเสียมากนี้ หากกองทัพบกไม่ระดมสรรพกำลังจากหน่วยสำคัญทั้งหมด ทั้งกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ และกองพลรบพิเศษเข้าไปช่วย 

การรบ 5 วันไทย – กัมพูชา ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 รอบนี้ เป็นการระดมกำลังทหารราบฝีมือดีทุกหน่วย เข้าร่วมกับกำลังพลของกองทัพภาคที่ 2 ที่คาดว่า ใช้กำลังพลในพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 3 หมื่นนาย และไม่แปลกที่มีนักวิเคราะห์ทางการทหาร หลายคนบอกว่า การรบครั้งนี้ เราใช้งบประมาณไปหลายพันล้าน ทั้งงบประมาณด้านกำลังพล และงบประมาณด้านอาวุธ

ประเมินกันว่า หากนับรวมระเบิด และจรวดที่ยิงจาก F-16 และกริพเพน รวมทั้งกระสุนปืนใหญ่ทุกขนาด ที่เบิกกันเกือบหมดคลัง จนต้องสั่งเพิ่มเร่งด่วน มูลค่าการรบครั้งนี้ อาจสูงเกินหมื่นล้านบาท

รถโลว์เบด เทลเลอร์ หรือรถชานต่ำ ที่วิ่งขนส่งสรรพาวุธและลำเลียงรถยานเกราะเข้าพื้นที่ วิ่งเข้าสุรินทร์ทั้งวันทั้งคืน จนถนนสายมิตรภาพต้องขอพื้นที่เลนซ้าย 1 เลนพิเศษ เพื่อรถส่งกำลังบำรุงโดยเฉพาะ 

การรบ 5 วันที่ รบกันแบบไม่รู้เขาว่า เขามีอะไรบ้าง กับ ไม่รู้เรา ว่า เรามีความพร้อมในการรบยืดเยื้อขนาดไหน ทำให้ฝ่ายยุทธการ เริ่มเห็นจุดบกพร่อง และเตรียมปรับแผนยุทธการ เพื่อเตรียมรับมือการรบระลอกใหม่หากเกิดขึ้น 

ที่ผ่านมา ภารกิจของกองทัพภาคที่ 2 หลังการรบกับกัมพูชา เมื่อปี 2554 และสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา เข้าสู่ภาวะปกติ และเน้นการค้าขาย การดำเนินธุรกิจร่วมของทั้ง 2 ประเทศ ทำให้ฝ่ายไทยมองว่า กัมพูชาใม่อยู่ในภาวะภัยคุกคามแบบเร่งด่วน 

การเสริมกำลังของกองทัพภาคที่ 2 จึงเน้นหนักไปสู่ภารกิจในพื้นที่อีสานเหนือ ภายใต้การดูแลของกองพลทหารราบที่ 3 หรือ กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ที่รับผิดชอบชายแดนไทย - ลาว และเน้นการปราบปรามการลักลอบนำเข้ายาเสพติด จากประเทศเพื่อนบ้านมากกว่า

ส่วนฝั่งกัมพูชา เป็นเพียงภารกิจการเฝ้าระวัง และติดตามความเคลื่อนไหวของฝั่งกัมพูชา ที่เริ่มพัฒนาด้านสาธารณูปโภค ถนน เข้าสู่พื้นที่ชายแดน และแม้จะเป็นการเสริมบังเกอร์ หรือการขุดคูเลตในบางพื้นที่ แต่ก็ไม่มีความผิดปกติ ที่จะมีท่าทีที่จะเป็นภัยคุกคาม 

การเสริมอาวุธยุทโธปกรณ์ในสถานการณ์ที่กองทัพถูกปรับลดงบประมาณ ทำให้ความจำเป็นในการเสริมกำลังของกองทัพภาคที่ 2 โดยเฉพาะในพื้นที่กองกำลังสุรนารี เพื่อรองรับภัยคุกคามจากกัมพูชา จึงไม่ถูกจัดเป็นลำดับความเร่งด่วนระดับต้น 

นับจากปี 2547 กองทัพบกให้ความสำคัญกับการจัดเสริมกำลัง และอาวุธยุทโธปกรณ์พิเศษให้กับหน่วยกำลังในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 มากกว่า ทั้งงบประมาณในส่วนของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก หรือ งบประมาณในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน

นอกจากนี้ 10 ปีที่ผ่านมา กองทัพยังเน้นการพัฒนาในรูปแบบกองทัพขนาดใหญ่ ที่เน้นยุทโธปกรณ์หนัก 

โดยเฉพาะในยุคของ ‘3 ป.’ การจัดหาอาวุธ มุ่งไปที่การจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยาง การจัดอากาศยานลำเลียง มากกว่าที่จะจัดหาอากาศยานโจมตี

การพัฒนากำลังทหารราบ มาเริ่มต้นในยุคของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่ริเริ่มการจัดตั้งกองพันทรหด ตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 จนยกระดับการสร้างกองทัพรูปแบบใหม่ ให้รองรับ ‘สงครามอสมมาตร’ ในหลักนิยม “SMART Soldiers Strong ARMY”

พล.อ.อภิรัชต์ ยังได้นำจุดบกพร่องของการรบกับกัมพูชา เมื่อปี 2554 ที่ครั้งนั้น ใช้กำลังหน่วยเคลื่อนที่เร็ว RDF ที่มี ร.31 รอ. เป็นหน่วยหลัก และพบว่า การใช้หน่วยนอกพื้นที่เป็นหน่วยนำ ทำให้ขาดความชำนาญด้านพื้นที่

กองทัพบกในยุคนั้น จึงปรับเปลี่ยนให้มีการตั้งกองพัน RDF หรือ กองพันพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วในทุกกองทัพภาค เพื่อให้กองพัน RDF ในพื้นที่เป็นหน่วยนำ เมื่อจำเป็นต้องประกอบกำลังเป็นกองพล RDF ในภาวะที่มีสงคราม 

แนวคิดของ พล.อ.อภิรัชต์ มีการนำมาพัฒนาต่อในยุคของ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ที่มีคำสั่งให้ ร.31 รอ. เพิ่มขีดความสามารถของหน่วย จาก RDF ขึ้นมาเป็น RDF-X หรือ ที่เรียกว่า หน่วยพร้อมรบเฉพาะกิจในสงครามรูปแบบใหม่ หรือ หน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว : Rapid Development Force (RDF-X) ที่มีความสามารถสูงในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว โดยมีขีดความสามารถในการรบอย่างรวดเร็ว

การรบ 5 วันที่ผ่านมาในเดือนกรกฏาคม RDF-X จาก ร.31 จึงเป็นหน่วยที่มีบทบาทสูงในการเข้าร่วมกับกองกำลังสุรนารี ในการปะทะกับฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ปราสาทตาควาย ภายใต้การนำของ พันเอกกฤษดา  หิรัญโรจน์ หรือ ผู้การหมู (ตท.36) และได้ทดสอบทฤษฏี RDF-X ว่ามีความพร้อมเพียงพอต่อปฏิบัติการภาคพื้นดิน ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ 

ส่วนกองพลรบพิเศษ ภายใต้การนำของ ผบ.เอิร์ธ พล.ต.อินทนนท์ รัตนกาฬ ผบ.พล.รบพิเศษในขณะนั้น การรบ 5 วัน แม้กองพันจู่โจม หรือ ฉก.90 จะเป็นหน่วยนำในการเข้ายึดภูมะเขือได้สำเร็จ แต่การปะทะกันในพื้นที่ช่องบกของคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งรบพิเศษของไทย ต้องเจอการยิงถล่มจากปืน ค. และโดรนทิ้งระเบิดของฝ่ายกัมพูชาอย่างหนัก เป็นอีกส่วนที่ต้องกลับมาปรับแผนอย่างหนัก เพื่อรับมือกับการโจมตีที่เกิดขึ้น 

การรบรอบใหม่ที่มีสัญญาณบ่งชัดว่า อาจจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ ทำให้ฝ่ายไทยต้องปรับแผนยุทธการอย่างหนัก ประการสำคัญ คือ เมื่อครั้งนี้จะเป็นการรบแบบรู้เขา รู้เรา แผนยุทธการที่ต้องกำหนด จึงจำต้องรัดกุม และต้องเป็นแผนที่พร้อมทั้งรุกและรับ 

อันเป็นแผนยุทธการที่หมายถึง ต้องพร้อมต่อการรับมือการบุกโจมตีในพื้นที่สำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนธม ภูมะเขือ ช่องบก ช่องอานม้า และภูผี ที่ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายครอบครองอยู่ 

อันเป็นแผนยุทธการ ที่หมายถึง ต้องพร้อมต่อการรุกคืบ หรือการบุกเข้าโจมตี เพื่อยึดคืนพื้นที่สำคัญที่ฝ่ายกัมพูชาครอบครองอยู่ เช่น ปราสาทตาควาย และพื้นที่ที่ยังสับสน เช่น ปราสาทคนา

อันเป็นแผนยุทธการ ที่หมายถึง ต้องพร้อมต่อการรับมืออาวุธพิเศษของฝ่ายกัมพูชา ทั้งโดรนโจมตี โดรนทิ้งระเบิด และโดรนกามิกาเซ่

การรับมือโดรนก่อกวน ที่จะบินเข้ามาก่อกวนสัญญาณตามฐานปฏิบัติการ โดยเฉพาะฐานทัพอากาศแต่ละแห่ง เพื่อสกัดการขึ้นบินของเครื่องบินรบของไทย 

การรับมือ กองกำลังสไนเปอร์ หรือพลซุ่มยิงของกัมพูชา ที่วันนี้มีมากกว่าปี 2554 หลายเท่าตัว    

การรับมือกำลังทหารราบที่กัมพูชาอาจทุ่มกำลังเข้าตีในจุดที่หวังผล

ความพร้อมของปืนใหญ่ในทุกขนาด ที่จะยิงสนับสนุนทหารราบ และยิงถล่มฐานปืนใหญ่ของกัมพูชา  อันจะต้องปิดข้อบกพร่องจากการยิงสนับสนุนในครั้งก่อน ที่ทำให้ทหารราบบางหน่วยต้องใช้ปืน ค.ในการยิงเบิกทางการเข้าตี  

รวมทั้งปฏิบัติการทางอากาศที่จะต้องเข้มข้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อครั้งนี้ กัมพูชา มีการเสริมปืนใหญ่อัตตาจรเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเครื่องยิงจรวด BM-21 ที่จะต้องกวาดให้สิ้นซาก 

ศูนย์ปฏิบัติการโดรนโจมตีที่จะต้องค้นหาให้พบ เพื่อทำลายก่อนโดรนฝูงใหญ่จะขึ้นบินมาโจมตีฐานปฏิบัติการของฝ่ายไทย 

ทั้งหมดเป็นการบ้านที่เชื่อว่า ฝ่ายยุทธการของกองทัพไทยรู้ดี และเตรียมแผนปฏิบัติการรอบใหม่ไว้อย่างรอบคอบแล้ว ภายใต้การบัญชาการของ 3 อดีตเจ้ากรมยุทธการทหารบก คือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม , พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการกองทัพไทย และพล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก 

ส่วนในพื้นที่ เชื่อว่า พล.ท.วีรยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการรบใน ศปก.ส่วนหน้า ที่ล่าสุดลงตรวจพื้นที่ตลอดแนวชายแดน เพื่อวางกำลัง และศึกษาข้อบกพร่องในการรบครั้งก่อน น่าจะเตรียมแผนที่พร้อมแล้วเช่นกัน 

ส่วนแผนการรบรอบนี้จะเป็นเช่นไร คงลงรายละเอียดไม่ได้ และหลายๆนักวิเคราะห์ หลายๆ นักวิจารณ์ ก็ควรสงวนภูมิรู้ สงวนความเห็นที่จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชาไว้บ้าง เพราะกองพันการข่าว หรือกองพัน IO ของกัมพูชา รอบนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แต่มาเต็มทั้งบุคลากร และระบบที่ได้รับการพัฒนาจากกลุ่มสแกมเมอร์ที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านนี้โดยเฉพาะ

EP.หน้ามาว่า กันเรื่อง คืนการรบที่ปราสาทตาควาย อะไรเป็นปัจจัยที่เราต้องชะลอการบุกต่อ และอะไรเป็นปัจจัยสำคัญของชัยชนะ หากเราจะรบรอบนี้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์