Deep SPACE การแก้ไขรัฐธรรมนูญว่ากันมาเป็นปี เริ่มมีชีวิต ชีวาขึ้น เพราะครั้งนี้ดูเหมือนก็ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุดตั้งแต่เริ่มทำกันมา แต่สุดท้ายดูรายละเอียดแล้วไม่ง่ายอย่างที่คิด เวลา, สสร. , ผ่านสภาฯ หัวขบวนอย่างพรรคส้มคงต้องหาทางออกว่าจะไปต่ออย่างไรติดตามในDeep SPACE..ลึกกว่าที่รู้
นับจากปี 2564 เป็นต้นมา ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ต้องทำประชามติสอบถามประชาชนผู้มีอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญเสียก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่
ผ่านมาถึงวันนี้สี่ปีเข้าไปแล้ว ความพยายามที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ให้เป็นฉบับของประชาชน ที่ร่วมกันยกร่างขึ้นในนามของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรนูญ หรือสสร.ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่มาจาก‘ปลายกระบอกปืน’ของคณะรัฐประหาร
แต่ความฝันที่ว่าก็ยังไม่เป็นจริงเสียที
ทว่าหนนี้ ดูจะเข้าใกล้ความเป็นจริงกว่าทุกครั้ง เพราะถึงขั้นทำ MOA กำหนดกรอบเวลาไว้ชัดเจน 4 เดือนให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พร้อมจัดทำประชามติรัฐธรรมนูญใหม่ไปด้วยกันในคราวเดียว
ดูเหมือนการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะอยู่ใกล้แค่มือเอื้อมเท่านั้นเอง
แต่ผ่านไปไม่กี่วัน พอไปฟังรายละเอียดจากฝ่ายต่างๆ ที่ให้ความเห็นกันออกมา ก็น่าจะ‘ไม่ง่าย’ อย่างที่คิดไว้ เพราะมีทั้งที่มองแบบโลกสวยและมองผ่านชีวิตจริง ที่ต้องเจอกับปัญหา อุปสรรคมากมาย
โดยซีก ‘สว.นรเศรษฐ์ ปรัชญากร’ ประธานกมธ.การพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คนหนึ่ง เชื่อว่าก่อนจะปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ ร่างแก้ไขมาตรา 256/1 น่าจะผ่านวาระแรกไปได้
จากนั้น ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา ก็ให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปว่ากันเสียให้เรียบร้อย พอเปิดสมัยประชุมมาอีกครั้ง ก็บรรจุเข้าพิจารณาวาระ 2-3 เสร็จก่อนสิ้นปี และยุบสภาได้ในช่วงต้นปีหน้า
ต่างจากคนการเมืองที่อยู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่าง ‘ชูศักดิ์ ศิรินิล’ หัวหน้าทีมฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยอมรับว่าภายใต้กรอบเวลา 4 เดือนนั้น ไม่ง่ายเลยสำหรับโจทย์ใหญ่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
‘หากจะยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จทั้ง 3 วาระ ภายในระยะเวลา 4 เดือน ไม่ต้องเป็นอันกินอันนอนกัน หลังตุลาคมปิดสมัยประชุมสภา ก็ไม่ต้องไปไหนกัน ต้องทุ่มเทกันถึงขนาดทั้งวัน ทั้งคืน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ทัน พี่น้องสื่อมวลชนก็ถามกันว่าปวดหัวไหม ยอมรับว่าปวดหัว ปัญหาไม่ใช่ง่ายๆ พอไปประชุมมีเรื่องที่ต้องให้คิดสลับซับซ้อน เช่น กรรมาธิการกับสภาร่างฯ จะเอาอย่างไร เถียงกันได้ทั้งวันทั้งคืน’
อาจารย์ชูศักดิ์ นำเสนอโมเดลที่ฝ่ายกฎหมายเพื่อไทยคิดไว้คร่าวๆ เรื่องที่มา ‘สสร.ทางอ้อม’ โดยอาจจะมีจำนวน 100-200 คน ให้รัฐสภาเลือก แต่อาจจะดูอุ้ยอ้าย เพราะมีขั้นตอตต่างๆ เยอะ หรืออาจจะให้รัฐสภาตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมายกร่าง จำนวน 47-50 คน ก็แล้วแต่จะตกลงกัน
โดยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด อาจารย์ชูศักดิ์ พยายามชี้ให้ทุกพรรคการเมืองเข้าใจตรงกันว่า ภายในระยะเวลา 4 เดือน หลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ร่างแก้ไข มาตรา 256/1 ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาทั้ง 3 วาระ ก่อนที่จะยุบสภา ซึ่งหากไม่แล้วเสร็จก็จะไม่มีอะไรไปทำประชามติ
‘วาระที่ 1 และวาระ 3 จะต้องมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภา เห็นชอบด้วย 1 ใน 3 และต้องได้เสียงจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านร้อยละ 20 เห็นชอบด้วย ซึ่งหากไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จบกระดาน ม้วนเสื่อกลับบ้าน’
ลำพังเสียงจากสภาล่างทั้งสส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน คงไม่มีปัญหาเพราะต่างมีเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้ว ดังนั้น ที่ชูศักดิ์ เตือนไว้น่าจะเป็นเสียงจากซีก สว.มากกว่า ซึ่งไม่รู้ความเป็นอิสระและความเป็นสภากลั่นกรองของวุฒิสภา จะ ‘เปล่งประกาย’ ออกมาตอนไหน โดยเฉพาะในวาระ 3 ที่อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
ไม่รู้ว่าพรรคสีส้ม ได้เตรียมแผนไว้รองรับหรือไม่ ในกรณีที่ครบ 4 เดือนแล้ว แต่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ ไม่ผ่านวาระ 3 จะทำอย่างไร จะปรับกระบวนท่าใหม่เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง โดยทำประชามติแค่คำถามแรกก่อน คือ เห็นด้วยหรือไม่กับการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่
วัดดวงกันไปเลยว่าเอาไม่เอา
ถ้าเห็นด้วย ก็ค่อยมาเริ่มต้นแก้ไขมาตรา 256 เสนอสูตรที่มาสสร.และเนื้อหากันใหม่ในสภาชุดต่อไป แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ค่อยมาคิดอ่านแก้ไขรายมาตรากันอีกที
เพื่อไม่ให้ต้องมาเสียเวลา ปวดหัวกับการยกร่างแก้ไข มาตรา 256/1 และพิจารณากันแบบหามรุ่งหามค่ำกันในเวลานี้ รวมทั้ง ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะถูกคว่ำในวาระ 3 ด้วย ก็ทำประชามติแค่คำถามเดียวโดดๆ กันไปก่อน
หากขืนเล่นท่ายาก มีโอกาสต้องม้วนเสื่อกลับบ้านหรือไม่ก็ตกม้าตายในตอนท้ายสูง เอาเวลาที่เหลือจากนี้ไปออกแบบ แต่งตัวรอลงสนามเลือกตั้งใหม่ จะเกิดมรรคผลได้มากกว่า