สมแล้วกับฉายา ‘จิ้งจอกพนมเปญ’ ที่สื่อตะวันตกพร้อมใจกันตั้งให้ ‘ฮุน เซน’ ในช่วงก่อนยุติศึกเขมร 3 ฝ่าย เมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน เพราะสงครามที่ไม่ได้ประกาศระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอด 5 วันที่ผ่านมา
มันฟ้องถึงความเป็นจิ้งจอกเฒ่าแห่งพนมเปญได้อย่างชัดเจน
โกหก ตอแหล บิดเบือนข้อเท็จจริง พูดดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ กระทำตรงข้ามกับสิ่งที่พูดและสื่อสารต่อประชาคมโลกไว้ มีครบหมด ทั้งจากฮุนผู้พ่อและฮุนผู้ลูก รวมทั้งคนในรัฐบาลพนมเปญที่เป็นเครือข่ายของสองพ่อลูก
ไม่ว่าการกล่าวหาไทยเป็นฝ่ายยั่วยุ ไม่ยอมรับสันติวิธี และเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน ทั้งที่ข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้น เป็นฝ่ายเขมรเองที่ ‘ละเมิดทุกข้อตกลง’ ไม่ว่าเอ็มโอยู 2543 ไปถึงอนุสัญญาออตตาวา และเปิดฉากยิงก่อน จากปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เป็นแนวยาวผ่านชายแดน จ.อุบลราชธานี จ.บุรีรัมย์ ไปถึงชายแดนพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ
นอกจากนั้น เขมรยัง ‘ฉีกทุกกฎของสงคราม’ เข่นฆ่า ทำร้ายชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ ยิงปืนใหญ่ จรวด เข้าใส่ชุมชนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร ทำลายโบราณสถาน ทั้งยังใช้ประชาชนของตัวเองเป็นโล่มนุษย์ นำอาวุธปืนพิสัยไกลไปตั้งฐานยิงในชุมชน เพื่อป้องกันการยิงทำลายจากฝ่ายไทย
จากพฤติการณ์เจ้าเล่ห์เพทุบายของสองพ่อลูกแห่งพนมเปญ ไม่ว่าจะเกิดจากการบาดหมางใจกับตระกูล ‘ชินวัตร’ สองพ่อลูกฝั่งไทย หรือต้องการสร้างภาพความเป็นผู้นำที่แข็งแแกร่งให้กับฮุน มาเนต ผู้เป็นลูกชายก็ตาม
แต่ ‘การปะทะ 5 วัน’ ที่ทำลายชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปจำนวนมาก รวมทั้งผู้คนอีกเรือนแสนที่ต้องทิ้งบ้านเรือนหนีภัยสงคราม ไม่ควรจบลงด้วยการเจรจา ที่ผู้นำสหรัฐใช้กำแพงภาษีมาตีกิน โดยไม่ได้แยกแยะความถูกผิด
‘ทรัมป์’ กำลังเหมารวมว่าไทย-กัมพูชา ผิดด้วยกันทั้งคู่ ต้องหยุดยิง ไม่อย่างนั้นไม่เจรจาเรื่องภาษีด้วย
ภาคเอกชนไทยต่างหาก ที่แยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เอาเรื่องข้อพิพาทชายแดนที่เพื่อนบ้านเจ้าเล่ห์อย่างกัมพูชากุขึ้น มาเป็นข้ออ้างทำให้เราต้องสูญเสียอธิปไตย‘เกรียงไกร เธียรนุกูล’ ประธานสภาอุตสาหกรรม ให้กองทัพลุยไปก่อน เรื่องภาษีไว้ทีหลัง
‘ถ้าหากไม่มีประเทศ ไม่มีอธิปไตยแล้ว จะไปค้าขายกับใครได้’
นั่นคือ ความแจ่มชัด ชัดเจนจากภาคเอกชน ที่รัฐบาลพึงสดับ รวมทั้ง ความแกร่งของกองทัพ ที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยตลอดห้าวันที่ผ่านมา ที่รัฐบาลในภาวะขาดหัวต้องตระหนักในการเจรจากับเพื่อนบ้านที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
คำถามคือ หยุดยิงแล้วยังไงต่อ เพื่อไม่ให้ชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ ต้องไม่ตายฟรี!!
ต้องนำสองพ่อลูกตระกูลฮุน ไปขึ้น‘ศาลอาญาระหว่างประเทศ’ ในฐานะอาชญากรสงคราม รวมทั้ง ชดใช้ความเสียหายที่ก่ออาชญากรรมในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ คงไม่จบแค่การหยุดยิงผ่านข้อตกลง 4 ข้อเท่านั้น
มีหลายเสียงเตือนให้ระวังการเจรจา จะประทับความชอบธรรมให้กับสองพ่อลูกตระกูลฮุน
ที่สำคัญหลังการเจรจา อย่าให้เกิดการ ‘ซ้ำรอย’ ปี 2554 ที่ไทยยอมรื้อรั้วลวดหนาม ให้กัมพูชาเข้า-ออกปราสาทตาเมือนธมได้ จนมาเคลมแสดงความเป็นเจ้าของในตอนหลัง หรือแม้แต่ภูมะเขือ วัดแก้วสิกขาสวาระ ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็ยอมให้ทหารกัมพูชายึดครองไว้
วันนี้ ภูมะเขือ ช่องอานม้า ปราสาทตาเมือนธม กลับมาอยู่ภายใต้การยึดครองของทหารไทยอีกครั้ง ดังนั้น หลายฝ่ายสนับสนุนให้ดำรงสถานะพื้นที่เอาไว้ โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนปี 2554 อีกครั้ง หลังถูกเขมรเจ้าเล่ห์รวมหัวกับนักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวปล่อยให้เพื่อนบ้านยึดครองไป
ทั้งๆ ที่พื้นที่ดังกล่าว อยู่ในแนวสันปันน้ำ พรมแดนธรรมชาติเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งเป็นของไทยอย่างชัดเจน
เที่ยวนี้ฝ่ายการเมืองจะเจรจาอย่างไร ก็ให้ว่ากันไป แต่อย่าเอาผลประโยชน์ของบ้านเมืองไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว มาสั่งให้ทหารถอยเหมือนสิบกว่าปีก่อนอีก
ขนาดทำข้อตกลงหยุดยิง พ้นเที่ยงคืนแล้วทหารเขมรยังกระหน่ำยิงใส่ทหารไทยถึงเช้า กระสุนปืนค.ตกมาถึงบ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
เชื่อว่าหนนี้คนไทยคงไม่ยอมให้ถอยอีก!!