Deep SPACE กัมพูชายังเต็มไปด้วยธุรกิจสีเทาเต็มประเทศ ปัญหาแก็งคอลล์เซ็นเตอร์ที่ไม่จบง่าย ๆ ยังได้รับการจัดอันดับจากหน่วยงานของเยอรมันให้เป็นศูนย์กลางของการค้าบุหรี่เถื่อน และบุหรี่ปลอมของโลก ว่ากันว่าผู้อยู่เบื้องหลังมี 3 คนสำคัญของคือ ‘ฮุนเซน-เตียบัญ-ก๊ก อาน’ ติดตามในDeep SPACE..ลึกกว่าที่รู้
ทุกวันนี้คงต้องยอมรับว่า New Normal ความไม่ปกติที่กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ได้กลายเป็นปรากฎการณ์ที่พวกเราชาวไทยเริ่มคุ้นชินไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ไปจนถึงเรื่องสังคม
ปัญหาบุหรี่เถื่อนที่มีราคาถูกจนน่าตกใจ (เพียงแค่ซองละ 25-35 บาท) ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่แพร่ระบาดและสามารถหาซื้อได้ง่ายยิ่งกว่าการเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ เพราะเพียงไถฟีดบนจอมือถือค้นหาคำว่า ‘บุหรี่นอก’ (โปรดสังเกตว่า ไม่ใช้ชื่อว่า บุหรี่เถื่อน) ก็จะขึ้นพรึ่บมาให้เลือกซื้ออย่างละลานตา พอๆกับบุหรี่ไฟฟ้า ที่รัฐบาลจะพยายามจับและปราบปราม แต่ขบวนการผิดกฎหมายเหล่านี้ก็ยังสามารถทำมาหากินกันได้ชนิดท้าทายและไม่เกรงกลัวกฎหมาย
สำหรับคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่อาจจะไม่สนใจ แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า ปัจจุบันบุหรี่เถื่อนที่ ‘ทะลัก’ เข้ามาขายในเมืองไทยกันอย่างเอิกเกริก สร้างรายได้สีเทข้อมูลจากองค์กรระหว่างประเทศาให้กับคนที่อยู่ในขบวนการนั้น ‘กัมพูชา’ ของ ตระกูลฮุน และพรรคพวก คือ ‘ศูนย์กลางการค้าบุหรี่เถื่อน และบุหรี่ปลอม’ ที่สำคัญที่สุดของโลก โดยมีประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่ และทางผ่านที่สำคัญไปยังประเทศอื่นๆ
ข้อมูลจากองค์กรระหว่างประเทศของเยอรมันที่ติดตามการค้าสินค้าผิดกฎหมาย ได้รวบรวมข้อมูลการค้าระหว่างเดือน ตุลาคม 2565 ถึงเดือน พฤศจิกายน 2566 ชี้ชัดว่า กัมพูชา คือศูนย์กลางการค้าบุหรี่เถื่อน-บุหรี่ปลอมที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ที่ดูเหมือนเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมธุรกิจสีเทา ที่ได้รับ ‘ไฟเขียว’ ให้ดำเนินการกันอย่างเสรีหากเข้ามาอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนใน 3 ตระกูลใหญ่ที่ครองอำนาจอยู่ในกัมพูชา คือ ‘ฮุนเซน-เตียบัญ-ก๊กอาน’ โดยคาดว่า กัมพูชาส่งออกบุหรี่เถื่อนมูลค่าสูงถึง 13.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กัมพูชาจึงเป็นทั้งประเทศต้นทาง ทางผ่าน และประเทศปลายทางของการค้าบุหรี่ผิดกฎหมาย ที่มีไทยเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุน โดยบุหรี่เถื่อนจำนวนมาก ‘มีฐานการผลิตในกัมพูชา’ และยังรับอีกส่วนหนึ่งมาจากเวียดนามและอินโดนีเซีย ผ่านทางกรุงพนมเปญ กำปงโสม สีหนุวิลล์ เพื่อเข้าสู่ประเทศไทย
เส้นทางการลักลอบจะทำกันชนิดท้าทายกฎหมาย ทั้งทางบกและทางทะเล โดยทางบกจะมีการส่งผ่านทางช่องทางธรรมชาติ ตามแนวชายแดน โดยหลายกรณี ‘กระบะตู้ทึบ’ จะเข้ามาทางชายแดน เพื่อหลบสายตาเจ้าหน้าที่ และบางส่วนถูกลำเลียงเข้ามาในลักษณะกองทัพมด
แต่ที่สามารถเข้ามาได้ครั้งละมากๆ ชนิดหลายสิบตู้คอนเทนเนอร์ จะมีการดำเนินการแบบเย้ยกฎหมาย โดยการส่งผ่านช่องทางศุลกากรปกติ มาที่ท่าเรือใหญ่ๆของไทย เช่นท่าเรือแหลมฉบัง ด้วยวิธีสำแดงว่าเป็น ‘สินค้าส่งผ่านไปยังประเทศที่สาม’ นำเข้าสู่คลังสินค้าทัณฑ์บนที่ไม่มีการเปิดตู้คอนเทนเนอร์ เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
หลังจากนั้นเมื่อมีเรือขนออกไปจากท่าเรือของไทยแล้ว บุหรี่เถื่อนเหล่านี้ก็จะถูกย้ายถ่ายลำสู่เรือประมงขนาดเล็กในกลางทะเล เพื่อ ‘นำกลับ’ มาจำหน่ายในประเทศไทย โดยขนกลับมาขึ้นบกในไทยใหม่อีกครั้งตามท่าเรือชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก และภาคใต้
แน่นอนว่าขบวนการทั้งหมดสามารถทำได้อย่างสะดวก ผ่านการอำนวยความสะดวกจากคนของราชการ ทั้งเจ้าหน้าที่ศุลกากร คนสีกากี และสีเขียว ที่อยู่ในขบวนการหากินกับเรื่องเหล่านี้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
สำหรับคนที่อยู่ในวงการจะทราบดีว่า ในยุคนี้การลักลอบขายบุหรี่เถื่อนในไทยสามารถสร้างรายได้มหาศาล หากเทียบกับอดีตก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากโครงสร้างระบบภาษี ที่ทำให้เกิด‘ช่องว่าง’ ในการทำกำไรมหาศาลระหว่างบุหรี่ถูกกฎหมายกับบุหรี่เถื่อนที่หนีภาษี
ปัญหาบุหรี่เถื่อนไม่เพียงสร้างความปวดหัวให้กับทางการไทย ยังเป็นปัญหากับบรรดาค่าบุหรี่ยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเป็นอย่างมาก โดยมีการประเมินว่า ปัจจุบันจากสัดส่วนการสูบบุหรี่ของคนไทยที่เริ่มมีสถานการณ์ทรงตัวมาแล้วระยะหนึ่งคือราว 8-10 ล้านคน
ในจำนวนนี้บุหรี่เถื่อนสามารถเข้ามาครองตลาดได้ไม่ต่ำกว่า 28.1% คิดเป็นราว 8,700 ล้านมวน หรือ 440 ล้านซอง ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดตั้งแต่มีการสำรวจ สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมถึงกว่าปีละ 3 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่หายไปไม่ต่ำกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท
จาการสำรวจในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บุหรี่เถื่อนจะถูกพบมากในแถบจังหวัดภาคใต้ โดยมีหาดใหญ่ สงขลา เป็นเสมือนเมืองหลวงของบุหรี่เถื่อนที่หาซื้อได้ทั่วไป และยังพบได้ในจังหวัด สตูล พัทลุง ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช และยังแพร่กระจายไปตามจังหวัดชายทะเลด้านตะวันออก และเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งบางส่วนตามแนวชายแดนด้านตะวันตก ติดเมียนมาร์
สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้บุหรี่เถื่อนสามารถเข้ามาแย่งตลาดทั้งบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงานยาสูบ และบุหรี่นอกที่ถูกกฎหมาย เป็นผลโดยตรงมาจากโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่ ‘บิดเบี้ยว’ และทำให้เกิดส่วนต่างที่จูงใจให้มีการใช้กลวิธีหลบเลี่ยงภาษี
‘ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ’ ประธานมูลนิธรรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อเร็วๆนี้ ยอมรับว่าผลจากการที่กระทรวงการคลังเปลี่ยนโครงสร้างและอัตราภาษีบุหรี่-ซิกาแรต เมื่อปี พ.ศ.2560 จากเดิมที่คิดอัตราเดียวตามเปอร์เซ็นต์ราคาขายปลีก ที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2533 มาเป็น ‘โครงสร้างภาษีสูตรผสม’
คือคิดตามเปอร์เซ็นต์ของราคาขายปลีกบวกกับคิดเพิ่มต่อซองบุหรี่ยี่สิบมวน มวนละ 1.25 บาท ซึ่งทำให้ราคาบุหรี่สูงขึ้นจนทำให้ ‘คนสูบบุหรี่น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ’ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แต่พลันที่มีการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตแบบใหม่ ซึ่งคิดตามราคาขายปลีกเป็น 2 อัตรา คือ 20% และ 40% ตามราคาขายที่น้อยกว่า หรือ มากกว่า 60 บาทต่อซอง กลับกลายเป็น‘ช่องโหว่’ และทำให้เกิดปัญหาตามมา
เพราะไม่เพียงค่ายบุหรี่ต่างประเทศจะ ‘ดัมพ์’ ลดราคาขายปลีกบุหรี่เกรดรองลงมาให้ต่ำกว่าซองละ 60 บาท เพื่อเลี่ยงเสียภาษีที่สูงถึง 40 เพื่อเสียภาษีน้อยลงเพียง 20% แล้ว ส่วนต่างของภาษีที่ค่อนข้างสูงยังทำให้ปัญหาบุหรี่เถื่อนรุนแรงขึ้น ชนิดไม่สามารรปราบปรามและควบคุมได้
เกือบ 8 ปีหลังจากมีการเก็บภาษีบุหรี่ 2 อัตรา ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีบุหรี่‘ลดลง’ ปีละมากกว่า 10,000 ล้านบาท กำไร ‘การยาสูบแห่งประเทศไทย’ ลดเหลือปีละไม่กี่ร้อยล้านบาท จากที่เคยกำไรปีละเกือบ 9,000 ล้านบาท ผลจากการที่เสียส่วนแบ่งการตลาดให้แก่บุหรี่ต่างประเทศ (ดูตารางประกอบ)

ยิ่งไปกว่านั้น บุหรี่เถื่อนยังสามารถขายกันได้อย่างเอิกเกริกผ่านช่องทางออนไลน์ ผ่านระบบอีคอมเมิร์ซที่แพร่หลาย และการขนส่งพัสดุที่เข้าถึงทุกบ้านอย่างสะดวกสบาย โดยสามารถซื้อได้ง่ายดายผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ในฟังก์ชัน Marketplace ทั้งกลุ่มเปิด และกลุ่มปิดที่มีการทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์การตลาดกันอย่างหนัก
บทสรุปที่สร้างความเสียหายก็คือ บุหรี่ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้แก่บุหรี่เถื่อน ที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับ 3 ตระกูลใหญ่ในกัมพูชา และคนไทยบอยู่ในขบวนการสีเทา
ในขณะที่รัฐบาล ‘สูญเสียรายได้’ จากภาษีสรรพสามิตนับหมื่นล้านบ่าทต่อปี กำไรของการยาสูบไทยหดหายไปเกือบหมด และชาวไร่ยาสูบไทยได้รับโควต้าปลูกใบยาลดลง เดือดร้อนกันทุกฝ่าย
ในขณะที่คนสูบบุหรี่‘ไม่ได้ลดลง’ เพราะสามารถหาซื้อบุหรี่เถื่อนสูบได้ในราคาที่ถูกลง ความพยายามในการรณรงค์ให้คนไทยสูบบุหรี่ลดลงพังทลายลงโดยสิ้นเชิง

ตั้งแต่ พ.ศ.2562 องค์การอนามัยโลกก็ได้ส่งนักวิชาการมาแนะนำให้กระทรวงการคลัง‘ปรับภาษีบุหรี่ให้เหลืออัตราเดียว’ เพื่อแก้ไขปัญหา
แต่ก็ดูเหมือนกระทรวงการคลัง และกรมสรรพสามิตก็ยังคง ‘หลับหูหลับตา’ ไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลง
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า มีใครหรืออะไรที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่ ที่เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะไร้คำตอบ...