น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับปรากฏการณ์ ‘เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น’ ที่กำลังโด่งดัง และสร้างกระแส “เจนนี่ฟีเวอร์” จนเป็นศูนย์รวมของดารา เซเลป และเหล่า Influencer รวมถึงบรรดาเหล่าผู้ค้าออนไลน์ ที่ต่อคิวกันเข้าไปรอ Live สินค้ากับช่องของเจนนี่
เหล่านักวิชาการด้านการตลาด ต่างวิเคราะห์ ปรากฏการณ์ ‘เจนนี่’ ว่า เป็นปรากฏการณ์ทางการตลาดยุคใหม่ ที่ทำให้ ‘เจนนี่’ วันนี้พัฒนาจากการเป็น Influencer ไปสู่การสร้าง Market Place ขนาดใหญ่ ที่ทำให้ใครไม่ไป ก็พลาดที่จะเกาะขบวนการตลาดขนาดใหญ่ที่มีพลังการขาย และพลังแห่งการเข้าถึงที่รวดเร็ว ตรงเป้าหมาย
ปรากฏการณ์คนดังที่ทยอยไปรวมตัวที่บ้านเจนนี่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวแม่อย่าง ‘อั้ม’ พัชราภา ไชยเชื้อ หรือตัวพ่อ อย่าง ’หนุ่ม‘ กรรชัย กำเนิดพลอย ,มาริโอ้ เมาเร่อ ซึ่งยากมากที่จะมาร่วมอีเวนท์ในรูปแบบนี้
แทบทุกคนที่ไปต่างก็เป็นเบอร์ใหญ่ที่มีแสงในตัวทั้งสิ้น คนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการกระแส เพื่อสร้างความดัง หรือมาเพื่ออาศัยเจนนี่ “สังเคราะห์แสง” ให้กับตัวเอง
แต่เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่พลาดไม่ได้ เป็นปรากฏการณ์ที่อย่างน้อยต้องมาปรากฏกายสักช่วงหนึ่งของการ Live เพื่อให้คงอยู่ในกระแสการตลาดขนาดใหญ่ที่มีพลังเช่นนี้ เพราะปรากฏการณ์แบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และไม่ได้หมายความว่า ทุกครั้งจะปังขนาดนี้
เพราะฉะนั้นไม่แปลก ที่ทุกคนต้องไม่พลาดสำหรับ ปรากฏการณ์ ‘เจนนี่’
ที่เกริ่นมายาวเหยียด ก็เพราะอยากเอา “ปรากฏการณ์เจนนี่” มาเทียบเคียงกับปรากฏการณ์ ‘แม่ทัพกุ้ง’ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 นายทหารที่วันนั้นเหลืออายุราชการเพียงไม่ถึงปี ก็จะเกษียณอย่างเรียบง่ายในฐานะแม่ทัพภาคที่ 2 ที่มีอายุราชการเพียงปีเดียว
‘แม่ทัพกุ้ง’ วันนั้นเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 มาแล้วเกือบครึ่งปี ช่วงปรากฏการณ์ “คลิปหลุด” ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 เป็นช่วงเวลาที่แม่ทัพส่วนใหญ่ ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในปีนั้น ต้องเตรียมเดินสายอำลาหน่วย
แต่ปรากฏการณ์ “คลิปหลุด” กลับทำให้ ‘แม่ทัพกุ้ง’ โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน
ชีวิตแม่ทัพคนหนึ่งที่กำลังเตรียมตัวเกษียณ กลับถูกสปอตไลท์สาดส่องมาจากทุกสารทิศ ยิ่งการวางตัวของ ‘แม่ทัพกุ้ง’ ที่ไม่โต้ตอบ แต่กลับแสดงความเป็นทหารอาชีพที่พร้อมรับคำสั่ง และรับสถานการณ์ทุกเมื่อ ยิ่งทำให้ภาพของ ‘แม่ทัพกุ้ง’ โดดเด่นขึ้นมาทันที
ยิ่งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่ต่อเนื่องจากปรากฏการณ์ “คลิปหลุด” พัฒนาไปสู่การเปิดแนวรบระหว่างกันตลอดแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตร จนมีการปะทะกันตลอด 5 วัน กระทั่งหลังหยุดยิง เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม ผลปรากฏว่า ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายยึดครองความได้เปรียบ
ภาพของ ‘แม่ทัพกุ้ง’ ก็ยิ่งสุกสกาววาวแววมากขึ้น พอๆ กับภาพลักษณ์ของกองทัพไทย โดยเฉพาะกองทัพบก ที่ได้รับความนิยม และความชื่นชมจากมวลชนอย่างล้นหลาม
หลังการจรจาหยุดยิง อันเป็นห้วงเวลาของการสดุดีวีรชนที่เสียสละจากการรบ ทั้งที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ภาพการรบในพื้นที่ต่างๆ ทั้งที่เป็นคลิปจากโทรศัพท์มือถือของกำลังพลที่อยู่ในสนามรบ หรือคลิปจากกล้องติดหน้าหมวกของหน่วยรบพิเศษ ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการรบของทหารไทย ยิ่งกระตุ้นให้คนไทยออกมาชื่นชม และเชื่อมั่นในกำลังรบของกองทัพมากขึ้น
16 นักรบที่เสียชีวิตจาก 11 สมรภูมิได้รับการเทิดทูนและยกย่องเป็นวีรบุรุษ
นายทหารระดับ ผบ.หน่วยขนาดเล็กที่ร่วมรบหน้าแนว และผบ.หน่วยในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับผู้บังคับหมวด ผู้บังคับกองร้อยไปจนถึง ผู้บัญชาการกองพล และแม่ทัพ ได้รับคำชื่นชม ถือเป็นผลงานการรบเพื่อปกป้องประเทศ และรักษาเขตอธิปไตย
โดยเฉพาะกำลังพลของกองทัพภาคที่ 2 กองพลรบพิเศษ กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ และเหล่าทหารพราน ตำรวจตระเวนชายแดน เพราะเป็นหน่วยหลักที่ประจัญหน้ารบกับกัมพูชาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ตลอด 5 วันใน 11 สมรภูมิ
ขณะที่พื้นที่ของกองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 และกองกำลังป้องชายแดนจันทบุรี-ตราด ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ มีเพียงการเข้าผลักดันประปรายเป็นบางจุด
ปรากฏการณ์ ‘แม่ทัพกุ้ง’ บวกการรบ 5 วันของสมรภูมิไทย-กัมพูชา ไม่ต่างจากปรากฏการณ์ ‘เจนนี่’ ที่ใครอยู่ในสถานการณ์นั้น ก็ย่อมเป็นหนึ่งในวีรบุรุษ หนึ่งในนักรบ หนึ่งผู้มีผลงานการรบ บทบาทของการพิทักษ์รักษาชาติ และอธิปไตยที่ชัดเจน
การรบ 5 วันแม้จะยุติลงจากข้อตกลงหยุดยิง ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ลงแรงมาเคลียร์เอง แต่ท่าทีของกัมพูชาที่ยังคงยั่วยุ ยังคงวางกำลัง และอาวุธหนักตลอดแนวชายแดน รวมถึงสถานการณ์ที่บานปลายมายังพื้นที่ภาคตะวันออก ตั้งแต่จังหวัดสระแก้วลงไปจนถึงจังหวัดตราด ทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังมีแนวโน้มที่อาจจะเกิดการปะทะครั้งใหม่เกิดขึ้น
ปฏิบัติการณ์ช่วงชิงพื้นที่ เพื่อเข้าสู้สนามรบจริง เพื่อการสร้างผลงานจริง การสร้างกระแสเพื่อเอาใจมวลชน หวังสร้างความโดดเด่น หวังอยู่ในแสงสปอตไลท์ที่สาดส่อง จึงเริ่มเกิดขึ้นในหลายพื้นที่
ปฏิบัติการเปลี่ยนม้ากลางศึกของ 2 หน่วยหลัก ทั้งกองพลรบพิเศษ และกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ที่มีการเปลี่ยนตัวผู้บังคับหน่วย ทั้ง พล.ต.อินทนนท์ รัตนกาฬ ผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษ และพ.อ.กฤษดา หิรัญโรจน์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ น่าสนใจยิ่ง
แม้การโยกย้ายครั้งนี้ แม้ทั้งคู่จะขยับขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น โดย พล.ต.อินทนนท์ หรือเสธฯเอิร์ธ ขยับขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษ ที่จะมีโอกาสจ่อขึ้นเป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ซึ่งถือว่า เร็วมากสำหรับรุ่นเตรียมทหาร 31 (ตท.31)
ส่วน พ.อ.กฤษดา หรือผู้การหมู ตท.36 ที่ขยับขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ อันเป็นกองพลหลักอันดับหนึ่งของประเทศ และมีโอกาสลุ้นผู้บัญชาการกองพลใดกองพลหนึ่งในกองทัพภาคที่ 1
แต่ทั้งคู่ซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมการรบในสนาม โดย ‘พล.ต.อินทนนท์’ บัญชาการรบในการเข้าตีฐานที่มั่นของกัมพูชาบนยอดภูมะเขือ จนนำกำลังกองพันจู่โจมของรบพิเศษขึ้นไปยึดคืนภูมะเขือกลับมาเป็นของไทยได้
ส่วน พ.อ.กฤษดา มีส่วนนำกำลัง ร.31 รอ. ปักหลักรบในสมรภูมิปราสาทตาควาย อันเป็นพื้นที่การรบที่ ร.31 รอ.ใช้เป็นสมรภูมิทดสอบการปรับหน่วยจากหน่วยรบเคลื่อนที่เร็ว RDF เป็นหน่วยพร้อมรบเฉพาะกิจ RDF-X จนร่วมกับกองกำลังสุรนารี สามารถต้านทานการบุกแบบบ้าคลั่งของกองกำลังฝ่ายกัมพูชา ที่โถมเข้ามาหวังยึดพื้นที่ทั้งหมดของปราสาทตาควายไว้ได้
แม้จะสูญเสียการครอบครองตัวปราสาท แต่การรบที่ปราสาทตาควายประจักษ์ชัดว่า หากไม่มีการรุกและการรับที่แข็งแรง ฝ่ายกัมพูชาอาจนำกำลังรุกคืบเข้ามาได้มากกว่านี้
การเปลี่ยนม้ากลางศึก ทั้ง พล.ต.อินทนนท์ และ พ.อ.กฤษดา จึงถูกจับตามองว่า จะขาดความต่อเนื่องของงานยุทธการในสนาม และความเชื่อมั่นของกำลังพลในสนามรบหรือไม่
แต่เมื่อมีการส่งมอบตำแหน่งสนามต่อให้กับ พล.ต.เสด็จ อาคะจักร ผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษคนใหม่ และ พ.อ.ทศพล ทิมสถิตย์ ผบ.ร.31 รอ.คนใหม่ ก็ต้องดูว่า ม้าตัวใหม่ที่ถูกลงไปในสมรภูมิสำคัญทั้ง 2 พื้นที่ จะสามารถดำเนินการรบและปฏิบัติการเชิงยุทธการได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชาที่ยังเสริมกำลังและเตรียมความพร้อม 24 ชั่วโมง
การเปลี่ยนม้ากลางศึกของทั้ง 2 หน่วย จึงเป็นความภาวะการณ์ที่น่าสนใจยิ่ง เพราะแม้แต่กองทัพภาคที่ 2 เจ้าของพื้นที่ ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนม้ากลางศึกเช่นนี้
พล.ท.วีรยุทธ์ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ยังคงไว้ใจให้ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 ดำรงตำแหน่งสนาม คือ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารีต่อ ทั้งที่พล.ต.สมภพ ตท.29 ควรขยับขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อขยับเข้าไลน์รอเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อจากพล.ท.วีรยุทธ์
รวมทั้ง ผบ.หน่วยเฉพาะกิจทั้ง 2 หน่วย ก็ยังคงเป็น พ.อ.สุรกิจ กาฬเนตร ผบ.ฉก.1 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ชายแดนในจังหวัดอำนาจเจริญ, อุบลราชธานี และศรีสะเกษ และ พ.อ.ภาคภูมิ นภากาศ ผบ.ฉก.2รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์
มีเพียง พล.ต.วีรยุทธ์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งอำนวยการรบใน ศปก.ส่วนหน้า ที่ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 และยังคงใช้พื้นที่ ศปก.กองทัพภาคที่ 2 ส่วนหน้าเป็นพื้นที่ทำงานเช่นเดิม
ขณะที่ พล.ต.กิติศักดิ์ ถาวร เสนาธิการรองทัพภาคที่ 2 ที่แม้จะย้ายไปดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.พัฒนาที่ 2 แต่เสธฯแจ๊ค ก็ยังคงดำรงตำแหน่งสนามในฐานะรอง ผอ.ศปก.ทัพภาค 2 เพื่อเป็นแขนขาและหน่วยซัพพอร์ตให้กับ พล.ต.วีรยุทธ์ในสมรภูมิไทย-กัมพูชาเช่นเดิม
หมดฝนรอบนี้ ที่คาดการณ์กันว่า มีโอกาสที่ฝ่ายกัมพูชาอาจทุ่มกำลังเข้ายึดพื้นที่ส่วนใด ส่วนหนึ่งคืนจากฝ่ายไทย และคาดกันว่าฝ่ายไทยก็รอโอกาสที่จะขอยึดคืนพื้นที่ส่วนที่ยังไม่เบ็ดเสร็จคืนจากกัมพูชา
ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ว่า ม้าตัวใหม่จากกองพลรบพิเศษ และ ร.31 รอ. จะทำหน้าที่ได้ต่อเนื่อง และสมบทบาทม้าศึกของกองทัพหรือไม่
หรือจะเป็นเพียงความเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงยิ่งกับปรากฏการณ์ ‘เจนนี่’ ที่ไม่ว่า…ใครก็พลาดไม่ได้ ที่จะต้องเดินเข้ามาร่วมเวทีนี้
EP.หน้าจะมาต่อเรื่อง ปฏิบัติการสงครามข้อมูล และการรบบนโลกออนไลน์ ที่มีเป้าหมายไปยังตัวแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ และ ปฏิบัติการ Take Action บริเวณชายแดนด้านจังหวัดสระแก้ว จันทบุรีและตราด ที่บางฝ่ายกังวลว่า จะเป็นปฏิบัติการ Over Reaction หรือไม่