หลังที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถกกันมา 7 นัด จากทั้งหมดที่วางไว้ 10 นัด ต้องเคาะทุกอย่างให้จบไม่เกินวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ เพื่อนำไปสู่การขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญ ว่ากันในวาระ 2-3 ต่อไป
แต่ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณแปร่งๆ เมื่อการประชุมในวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีปัญหาองค์ประชุมล่ม โดยอ้างเหตุมีกรรมาธิการบางคนเดินทางไปต่างประเทศ ในขณะที่บางคนต้องลงพื้นที่ไปดูปัญหาน้ำท่วม
ทั้งๆ ที่เป็นนัดหมายสำคัญ ในวาระการลงมติชี้ขาดองค์ประกอบขององค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญจะให้ใช้โมเดลไหน หลังผ่านขั้นตอนการสนทนาธรรมจนตกผลึกกันไปแล้ว แต่ถึงเวลาลงมติกลับมีปัญหาองค์ประชุม โดยขาดไปแค่ 2 คน
ประธานฯ จึงต้องปิดการประชุมและนัดใหม่ในวันพุธที่ 12 พฤศจิกายน
แน่นอนอาการขัดลำกล้องที่เกิดขึ้น คงมีปัญหาโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น ที่ไม่ใช่จากเหตุผลข้างต้นแน่ๆ เนื่องจากสามารถเปิดประชุมได้ แต่มามีปัญหาเอาในช่วงจะลงมติ ซึ่งถามไถ่จากกรรมาธิการที่เหลืออยู่ ก็ไม่ยืนยันว่ามีใครลุกออกไปตอนไหนบ้าง
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ กำลังพิจารณาอยู่นั้น มีด้วยกันสองร่าง คือ ร่างฉบับพรรคประชาชนที่ใช้เป็นร่างหลัก และร่างของพรรคภูมิใจไทย เท่ากับว่าองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญ ก็ต้องมีแค่สองแนวทางเท่านั้น
แต่ปรากฎว่าที่ประชุมกรรมาธิการฯ มีการเสนอเพิ่มเติมแตกออกไปถึง 5 แนวทาง เพื่อต้องการหลบหลีกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ให้ผู้ยกร่างมาจากการเลือกโดยตรงของประชาชน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กรรมาธิการจากพรรคเพื่อไทย สรุปทั้ง 5 แนวทางเอาไว้ดังนี้
แนวทางแรก เป็นไปตามร่างหลักของพรรคประชาชน แนวทางที่สอง นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ เสนอให้มี สสร.และกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ โดยส่วนของสสร.นั้น เสนอให้มี 100 คน มาจากการสมัครระดับจังหวัด ทั้งนี้ ผู้ประสงค์สมัครรับเลือกเป็นสสร. ต้องมีผู้รับรอง 200 คน จากนั้น จะส่งรายชื่อผู้สมัครให้รัฐสภาคัดเลือก โดยต้องคำนึงถึงการกระจายตามสัดส่วนจังหวัดด้วย
แนวทางที่สาม เป็นของพรรคภูมิใจไทย ที่มีเนื้อหาคล้ายกับของพรรคประชาชน ที่ให้เปิดรับสมัครและส่งให้รัฐสภาพิจารณาคัดเลือก แนวทางที่สี่ เป็นของพรรคเพื่อไทย เสนอให้มีสสร.มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม และมีกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ
และแนวทางที่ห้า นพ.ชลน่าน เป็นผู้เสนอ ให้มี สสร.และ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ สำหรับ สสร.กำหนดให้มี 100 คน มาจากการสมัครในระดับจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด เมื่อได้ผู้สมัครแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องส่งให้รัฐสภาแต่งตั้ง โดยก่อนแต่งตั้งนั้น กำหนดให้มี กมธ.กลั่นกรองก่อน
ขณะที่ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญมี 23 คน มาจากการสมัครทั้งในระดับจังหวัดและส่วนกลาง ซึ่งกลไกได้มาต้องให้รัฐสภาแต่งตั้งผ่านการกลั่นกรองของ กมธ.จากสภา
ทั้ง 5 แนวทาง ได้ถูกนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปในสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนองค์ประชุมจะล่ม ดังนั้น การประชุมนัดถัดไปในวันพุธที่ 12 พฤศจิกายน หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กรรมาธิการทั้ง 43 คน ต้องลงมติจะเลือกใช้แนวทางไหน?
สุดท้ายไม่ว่าจะเคาะเอาแนวทางไหน ก็ต้องไปว่ากันในที่ประชุมรัฐสภาอีกครั้้ง หากมีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยสงวนความเห็นไว้ หรือมีผู้แปรญัตติเป็นอย่างอื่น
แต่ดูทรงดูทางแล้ว คนวงในเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้น่าจะจบไม่สวย อย่างแรกเลย การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการเสร็จไม่ทันตามกำหนดกลางเดือนนี้แน่ ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญได้เช่นกัน
สุดท้ายท้ายสุด หากเข็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญหนนี้ไม่สำเร็จ สิ่งที่รองนายกฯ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ แจกยาหอมไว้ให้รัฐบาลเสนอคำถามแรกเองว่า “ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับการให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ถามแค่คำถามแรกก็พอนั้น
มีคนไปพลิกดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม หน้าที่ 15 พบเขียนไว้ชัดว่า “ให้รัฐสภามีหน้าที่ตั้งคำถามที่ 1” รัฐบาลไม่มีสิทธิ เพราะเป็นคนละเรื่องกันกับผลศึกษาเดิมที่รัฐบาลชุดก่อนทำไว้
ไปลุ้นกันเอาเองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปต่อหรือว่าพอแค่นี้


