ในที่สุดก็ไม่พลิก เมื่อมีชื่อ พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ในรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ บนเก้าอี้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมตามคาด
พล.ท.อดุลย์ ซึ่งเป็น 1 ในรุ่นเตรียมทหาร 26 (ตท.26) รุ่นที่กำลังโด่งดังในเวลานี้ คงไม่คาดคิดมาก่อนว่า วันหนึ่งชีวิตจะพุ่งขึ้นสูงถึงตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม’
ก่อนหน้านี้ แม้แม่ทัพดุลย์จะมีเส้นทางชีวิตรับราชการ ที่ผ่านตำแหน่งคุมกำลังในกองทัพภาคที่ 2 มาตลอด แต่ก็เกือบไม่ได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะต้องมาเบียดกับเพื่อนร่วมรุ่น พล.ท.บุญสิน พาดกลาง จนถึงโค้งสุดท้าย
ห้วงเวลาในช่วงเดือนสิงหาคม 2566 ชื่อของแม่ทัพกุ้งมาแรงกว่า และค่อนข้างแบเบอร์ แต่กลับมาพลิกในช่วงการประชุมวันสุดท้าย เมื่อมีสัญญาณแรงกว่ามาเบียด ด้วยเหตุผลว่า แม่ทัพดุลย์ เหลืออายุราชการอีกเพียงปีเดียว เพราะเกษียณอายุราชการปี 2567 ส่วนแม่ทัพกุ้ง เกษียณอายุราชการปี 2568 ยังมีอายุราชการเหลืออีก 2 ปี
บัญชีโยกย้ายในปี 2566 แม่ทัพดุลย์ จึงเบียดขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ส่วน แม่ทัพกุ้ง เป็นแม่ทัพน้อยที่ 2 เพื่อรอขึ้นเป็นแม่ทัพภาคในปี 2567
ทั้งคู่ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 คนละปีเท่ากัน แม่ทัพดุลย์ เกษียณตุลาคม 2567
แม่ทัพกุ้ง กำลังรอเกษียณตุลาคม 2568
ชีวิตของทั้ง 2 แม่ทัพ แม้ต้องเบียดแข่งกัน เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งที่มีคนสมหวังเพียงคนเดียว แต่ชีวิตของทั้ง 2 แม่ทัพต่างก็พลิกผัน และมีสีสันด้วยกันทั้งคู่
แม่ทัพกุ้ง พลิกมาโด่งดังเพียงข้ามคืน จากประโยคสั้นๆประโยคเดียว ของ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร ที่ระบุว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 เค้าเป็นฝ่ายตรงข้าม”
ประโยคสั้นๆที่ทรงพลัง เปลี่ยนชีวิตของทั้งนายกฯอิ๊งค์และแม่ทัพกุ้งไปอย่างสิ้นเชิง
คนหนึ่ง สูญเสียความเชื่อมั่น สูญเสียฐานคะแนน และสุดท้ายสูญเสียตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ขณะที่อีกคนหนึ่ง ชีวิตพลิกผันในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อก้าวขึ้นเป็นขวัญใจคนไทยเกือบทั้งประเทศ
แม่ทัพกุ้งในวันนี้ เดินสายไปทั่วประเทศ เพื่อพบปะพูดคุยกับมวลชน และสร้างแรงบันดาลใจ กลายเป็นไอดอลให้กับคนรุ่นใหม่ กระตุ้นความรักชาติ รักสถาบัน และสร้างศรัทธาให้กับกองทัพอีกครั้ง
ขณะที่แม่ทัพดุลย์ เกษียณอายุราชการแบบเงียบๆ ปกติในฐานะแม่ทัพภาคที่ 2 บำเหน็จในชีวิตหลังเกษียณ คือ เป็นบอร์ดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในโควตาของบ้านใหญ่บุรีรัมย์
แม่ทัพดุลย์ใช้ชีวิตหลังเกษียณแบบชิลๆ มีความสุขกับรถ SUV ZEEKR รถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ ที่เจ้าตัวบอกกับคนใกล้ชิดว่า “ลดค่าน้ำมันลงไปเดือนละเป็นหมื่น และทำให้ขับรถจากโคราชมากินข้าว มาตีกอล์ฟกับเพื่อนที่กรุงเทพได้สบายๆ”
ในฐานะบอร์ด กฟภ. ก็มีโปรแกรมเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ได้ไปเห็นการพัฒนาพลังงานในรูปแบบที่เมื่อครั้งเป็นแม่ทัพบ้านนอกไม่มีโอกาสได้เห็น
ถ้ามีใครถามแม่ทัพดุลย์เวลานั้นว่าจะเล่นการเมืองหรือไม่ เพราะใกล้ชิดกับบ้านใหญ่บุรีรัมย์ และนายกฯหนู ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ค่อนข้างแนบแน่น แม่ทัพดุลย์คงปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด เพราะกำลังมีความสุขกับชีวิตที่ไม่ต้องเดินเท้าตามชายแดน ไม่ต้องเดินสายตรวจเยี่ยมลูกน้อง และไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนจำนวนมาก
แต่ที่สุด ความตั้งใจของแม่ทัพดุลย์ก็เป็นหมัน เพราะใช้ชีวิตเกษียณสำราญแบบอิ่มสุขได้แค่ปีเดียว วันนี้ก็ต้องกลับมาแบกรับภาระใหญ่หลวง และมากกว่าเดิมในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อันเป็นช่วงเวลาพิเศษ เวลาที่ต้องรับผิดชอบ และมีภารกิจมากกว่าตำแหน่งรัฐมนตรีในภาวะปกติ
แม้แม่ทัพดุลย์จะปฏิเสธ แต่นายกฯหนูก็มีวิธีการยื่นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องทำใจ เตรียมทั้งตัว ที่ต้องแอบไปตัดสูทใหม่ เพื่อเตรียมเข้ากระทรวง และเตรียมทั้งใจ เพราะรู้ว่าภารกิจที่ต้องรับในฐานะ รมช.กลาโหม คืออะไร
จากชีวิตที่เกษียณอายุราชการในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ยศ ‘พลโท’ วันนี้จู่ๆก็หักเหขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาของนายทหารระดับพลเอกทุกเหล่าทัพ
จากที่คุ้นชินกับชุดทหารบกมาทั้งชีวิต…นับจากนี้ก็จะสามารถสวมชุดทหารเรือ และทหารอากาศในฐานะ รมช.กลาโหม
นี่คือความพลิกผันแบบที่เจ้าตัว…วันนี้ยังมึนงง
ส่วนภารกิจนั้น แม้วันนี้ รัฐบาลยังไม่แถลงนโยบายต่อสภา ซึ่งทำให้ยังไม่ได้รับมอบหมายงานจาก ‘บิ๊กเล็ก’ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ขยับจาก รมช.กลาโหมในรัฐบาลชุดที่แล้ว ขึ้นเป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาลชุดนี้
แม่ทัพดุลย์ บอกว่า รู้ดีว่า ต้องไปรับผิดชอบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในฐานะที่รับราชการในพื้นที่นั้นมาตั้งแต่ยังเป็นนายทหารเด็ก จนเป็นผู้บังคับกองร้อย ผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 และผบ.กองกำลังสุรนารี จนเป็นแม่ทัพภาคที่ 2
กระนั้น เจ้าตัวก็บอกว่า “ไม่กังวล และไม่กลัว เพราะรู้ดีว่า จะจัดการกับปัญหาอย่างไร”
ส่วน ‘บิ๊กเล็ก’ พล.อ.ณัฐพลเอง ก็ไม่ปฏิเสธว่า อาจต้องส่งมอบภารกิจปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้กับบิ๊กดุลย์ไปรับผิดชอบ แต่จะมอบทั้งหมดหรือบางส่วน ก็ต้องรอให้ครม.ชุดใหม่ถวายสัตย์ และแถลงนโยบายต่อสภาให้เป็นที่เรียบร้อยก่อน
หลังจากนั้นจึงมีการประชุม ครม. เพื่อมีมติว่า จะมีแนวทางการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา อย่างไร จะใช้โครงสร้างการแก้ปัญหา และการทำงานในรูปแบบ ศบ.ทก. หรือไม่ หากยังมี ศบ.ทก.ใครจะเป็นผู้อำนวยการศูนย์ จะเป็นรัฐมนตรีว่าการ หรือรัฐมนตรีช่วย ก็คงต้องแล้วแต่ครม.จะมีมติ
ส่วนตัว ‘บิ๊กเล็ก’ บอกสามารถทำงานกับ ‘บิ๊กดุลย์’ สบายๆ เพราะมีทั้ง 2 ในฐานะ ทั้งในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชา และทั้งฐานะที่เป็นน้องชายของ พล.อ.ชัยวัฒน์ บุญธรรมเจริญ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.20 ด้วยกัน
‘บิ๊กเล็ก’ เคยพูดติดตลกว่า “ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง ผอ.ศบ.ทก ที่ทางแถวบ้านก็แออัดไปหมด เพราะแน่นขนัดไปด้วยรถทัวร์ที่แห่กันมาจอด”
“พูดอย่าง ถูกแปลความหมายออกไปอีกอย่าง”
“พูด 100 บางครั้งก็มีคนแอบตัดไปเผยแพร่แค่ 20 ”
“มี พล.ท.อดุลย์ มาช่วยทำงาน ก็เหมือนมีน้องชายเพื่อนมาช่วย อย่างน้อยก็ช่วยกันแบ่งรถทัวร์ไปจอดที่อื่นบ้าง”
ชีวิต ‘แม่ทัพดุลย์’ มาเป็น ‘บิ๊กดุลย์’ นับจากนี้ ก็ต้องรอดูว่า ครม.ชุดใหม่จะมีมติและมีทิศทางการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาไปทางไหน จะมี ศบ.ทก. เหมือนเดิม และมอบบิ๊กดุลย์ ไปเป็นผอ.ศบ.ทก. เพื่อรับผิดชอบการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด หรือจะมอบให้ดูแลเฉพาะบางปัญหา และบางพื้นที่ ส่วนภาพรวมยังคงเป็น ‘บิ๊กเล็ก’
แต่รถทัวร์ผู้รักชาติแบบเข้มข้น จะเบนเข็มไปลงที่บ้าน ‘บิ๊กดุลย์’ ทั้งหมด หรือจะแชร์กันลงระหว่าง ‘บิ๊กเล็ก’และ ‘บิ๊กดุลย์’ ต้องรอติดตามอย่างใกล้ชิด
จะติดตามแบบระทึกในฤทัยพลันหรือไม่ หลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่คาดว่า จะแถลงในช่วง 30 กันยายน – 2 ตุลาคม ก็น่าจะเห็นภาพชัด ท่ามกลางระเบิดเวลาลูกใหญ่ จาก 3 มาตรการใหญ่ซึ่งที่ประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทิ้งเอาไว้ก่อนเกษียณกันเกือบหมด
ทั้งมาตรการ “ไม่เปิดด่าน” จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือ จนกว่ากัมพูชาจะหมดสภาพการเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย
มาตรการสร้างรั้วและติดตั้งกล้อง CCTV ในบริเวณที่สร้างได้ และไม่ติดปัญหาข้อพิพาท
มาตรการปรับกำลังรบ เพื่อพร้อมต่อการปกป้องอธิปไตย และรักษาดินแดนให้สอดคล้องกับภัยคุกคามจากประเทศกัมพูชา
ชีวิต ‘แม่ทัพดุลย์’ จากชีวิตเกษียณสุข จะพลิกมาเป็น ‘บิ๊กดุลย์’ รับเป็น “ตำบลกระสุนตก” แทน ‘บิ๊กเล็ก’ หรือไม่ ล้วนน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
