เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในโรงละครโอเปร่า หญิงสาวในคณะคนหนึ่งได้มีโอกาสเฉิดฉายบนเวทีผ่านความช่วยเหลือของเทพแห่งเสียงเพลงที่เธอคอยเฝ้าฝันถึง แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือสิ่งที่คนทั้งคณะต่างหวาดกลัวและขนานนามเขาว่า ‘ปีศาจแห่งโรงละคร’
นี่คงเป็นเนื้อเรื่องแสนย่อของ ‘The Phantom of the Opera’ นิยายแนวโกธิคสืบสวนที่ถูกดัดแปลงมาเป็นละครเพลงโดย แอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ (Andrew Lloyd Webber) นักประพันธ์ละครเพลงชาวอังกฤษผู้สร้างสรรค์ผลงานเรื่องนี้ได้อย่างน่าทึ่งและกลายเป็นผลงานอันเป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับของผู้คนตั้งแต่ปี 1986 และในปี 2025 นี้ปีศาจแห่งโรงอุปรากรได้กลับมาย้ำความน่าเกรงขามของเขาอีกครั้งหลังจากหายตัวไปจากประเทศไทยถึง 12 ปีที่โรงละครเมืองไทย รัชดาลัย เธียเตอร์ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 สิงหาคมซึ่งนับเป็นโอกาสที่หาชมได้ยากมากทีเดียว
The Phantom of the Opera ถือเป็นชื่อที่คุ้นหูสำหรับชาวไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา บ้างอาจคุ้นกับนิยายแปลไทยในชื่อของ ‘ปีศาจแห่งโรงอุปรากร’ ที่หน้าปกปรากฏภาพหน้ากากสีขาวครึ่งใบหน้าวางเคียงคู่กับดอกกุหลาบสีแดงสด นวนิยายที่แต่งโดย กัสตง เลอรูซ์ (Gaston Leroux) ในปี 1909 นักเขียนผู้เปรียบเสมือน อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ (Arthur Conan Doyle) แห่งฝรั่งเศส ในขณะที่บ้างอาจคุ้นเคยกับฉบับภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2004 ของโจเอล ชูมัคเกอร์ (Joel Schumacher) และบ้างอาจคุ้นเคยกับละครเพลงที่จัดแสดงที่ไทยเมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา
ละครเพลงเรื่อง The Phantom of the Opera ของ แอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ประสบความสำเร็จและส่งให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้คนมากที่สุด สมฉายานักประพันธ์เจ้าแห่งละครบรอดเวย์ที่เคยหยิบบทกวีของ ที.เอส. เอลเลียต (T.S. Elliot) มาสร้างสรรค์เป็นละครเพลงเรื่อง ‘CATS’ เมื่อปี 1981 (หากใครนึกไม่ออก ละครเรื่องนี้เคยถูกนำมาสร้างในเวอร์ชันภาพยนตร์แต่กระแสตอบรับไม่ค่อยดีนัก) ก่อนจะนำ The Phantom of the Opera มาจัดแสดงครั้งแรกในปี 1986 และได้รับการยกย่องว่าเป็นละครที่จัดแสดงบ่อยที่สุดในบรอดเวย์ โดยในปี 2023 ถูกบันทึกว่าเคยจัดแสดงมาแล้วกว่า 13,981 รอบ
ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปชมตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม (วันแรกที่จัดแสดง) ก่อนอื่นขอออกตัวว่าไม่เคยมีประสบการณ์ชมละครบรอดเวย์มาก่อนและไม่เคยอ่านฉบับนิยายและชมภาพยนตร์มาก่อนอีกด้วย อย่างไรก็ตามได้อ่านเนื้อเรื่องย่อและทำความเข้าใจเกี่ยวกับละครเพลงเรื่องนี้มาก่อนที่จะเข้าชมจึงนับเป็นโอกาสดีที่ผู้เขียนจะมาบอกเล่าประสบการณ์การชมละครเพลงเรื่องนี้สำหรับใครก็ตาม (ที่ไม่เคยชมมาก่อนเช่นกัน) ที่กำลังลังเลว่าจะซื้อบัตรเข้าไปชมดีไหม หรือสงสัยว่าเนื้อหาเข้าใจยากไหม ฟังยากหรือไม่่
เพื่อสร้างความเข้าใจแต่เริ่ม The Phantom of the Opera ที่กำลังจัดแสดงอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ละครโอเปร่าแต่เป็นละครเพลงบรอดเวย์ที่มีเซ็ตติ้งอยู่ในโรงละคร เพราะฉะนั้นมันจะให้ความรู้สึกเหมือนเราดูการ์ตูนดิสนีย์หรือภาพยนตร์เรื่อง La La Land หรือเรื่อง Sweeney Todd ที่มีการสลับการพูดคุยกึ่งขับร้องและมีช่วงของบทเพลงเป็นระยะๆ โดยละครเพลงนี้แบ่งออกเป็นทั้งหมดสององก์ ((Act) โดยมีช่วงอารัมภบท (Prologue) และพักครึ่ง 20 นาที
การแสดงนั้นควบคู่ไปกับฉากที่อลังการจนผู้เขียนรู้สึกทึ่งกับทุกองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นการจัดม่าน ฉากเซ็ตติ้ง การจัดแสง รวมถึงองค์ประกอบฉากขนาดใหญ่ที่มีความประณีตในรายละเอียด ความรู้สึกนี้ไม่ได้มาตอนหลังๆ แต่สัมผัสได้ตั้งแต่ช่วง Prologue การจัดแสง ฉาก เสียง และคอสตูม ทั้งหมดทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องจนบางทีเผลอนึกว่ามีการยิงฉากทั้งๆ ที่เป็นองค์ประกอบฉากจริง ส่วนตัวแล้วผู้เขียนเองไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ขั้นตอนการเปลี่ยนฉากบนละครเวทีนั้นก้าวหน้าไปมากน้อยขนาดไหน แต่การได้เห็นทุกองค์ประกอบฉากมีการเปลี่ยนสลับได้อย่างรวดเร็วนั้นทำให้รู้ว่าเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ทำให้ทุกอย่างไหลลื่นและไม่เสียจังหวะระหว่างฉากเลยแม้แต่น้อย
นักแสดงทุกคนมีความเป็นมืออาชีพอย่างไม่ต้องสงสัย การร้องเพลงนั้นทรงพลังมากโดยเฉพาะส่วนของการเปล่งเสียงแบบโอเปร่า ในด้านของดนตรีเป็นวงออร์เคสตร้าในพิต (pit) ในบางบทเพลงมีการผสมผสานเครื่องดนตรีสมัยใหม่ผ่านการเรียบเรียงให้ร่วมสมัยมากขึ้น สร้างความรู้สึกตระการตาแก่ผู้ชม ได้ร่วมลุ้นและตื่นตาตื่นใจกับทุกฉาก แค่ตอนเริ่มละครมาก็มัดใจผู้ชมจนอยู่หมัดแล้ว
ในส่วนของเนื้อเรื่อง โรงละครได้รับการออกแบบโดยแบ่งออกเป็นสองจอซ้าย-ขวาพร้อมซับไตเติลภาษาไทยแต่ไม่มีภาษาอังกฤษ ใครที่คิดว่าการดูซับไตเติลอาจทำให้เสียจังหวะบนเวทีขอบอกว่าการพูดคุยของตัวละครไม่ได้เข้าใจยากมากนัก ในส่วนของเพลงอาจเข้าใจยากเล็กน้อยส่วนพาร์ตโอเปร่าค่อนข้างเข้าใจยาก (แต่ไม่ถึงจุดที่ต้องกังวล) ถ้าเป็นไปได้ผู้เขียนขอแนะนำให้นั่งแถวตรงกลาง ไม่อยู่ในโซนหน้าหรือหลังจนเกินไปเพราะตรงกลางของชั้น 1 จะทำให้เสียงอยู่ในระดับที่เหมาะสม มองเห็นความลึกของฉากได้ครบถ้วนและตำแหน่งใบหน้าของนักแสดงที่พอดี ขอแนะนำให้ทุกคนงดถ่ายภาพในโรงละครแบบเอิกเกริกและงดเล่นโทรศัพท์มือถือนับตั้งแต่ละครเริ่มเพราะภายในโรงละครค่อนข้างมืด แค่แสงจากหนึ่งจอก็ทำให้ผู้ชมคนอื่นเสียสมาธิได้ (พูดจากประสบการณ์ตรง)
ในชีวิตหนึ่งผู้เขียนขอแนะนำให้ทุกคนได้ลองชมละครบรอดเวย์ดีๆ สักครั้ง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าอย่างหนึ่ง การชมละครในครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่านี่คือความพยายามของมนุษย์ในการสร้างสรรค์ศิลปะและความบันเทิงที่ไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้จริงๆ
สามารถเข้าไปสำรองที่นั่งกันได้ที่ https://www.thaiticketmajor.com/the-phantom-of-the-opera/ โดยราคาบัตรอยู่ที่ 1,800 / 2,500 / 3,500 / 4,300 / 5,500 / 6,000 / 6,500 บาท