หลังจากปล่อยให้แฟนๆ ของหนังรอคอยกันมาอย่างยาวนานถึง 15 ปีเต็มๆ นับจากที่ Tron: Legacy เข้าฉายเมื่อปี 2010 ก็ถึงเวลาแล้วที่ภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ของแฟรนไชส์ Tron จะกลับมาให้คนรักหนังจักรวาลนี้ได้รับชม และถ้าภาคแรกอย่าง Tron ในปี 1982 เคยสร้างปรากฏการณ์ว้าวในเรื่องความไซ-ไฟล้ำยุคไว้แค่ไหน Tron: Ares ก็บันดาลอารมณ์แบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณรักหนังไซ-ไฟนี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณไม่ควรพลาดในปีนี้

เรื่องราวคร่าวๆ ของ Tron: Ares พลิกกลับตาลปัตรจากภาคแรกในปี 1982 คือแทนที่มนุษย์จะเข้าไปผจญภัยในโลกดิจิทัล กลับกลายเป็น AI ถูกส่งกลับมาทำภารกิจในโลกมนุษย์แทนและนั่นคือเรื่องราวของหนังภาคนี้ โดย Ares (Jared Leto) เป็น AI ที่ถูกนำมาใช้งานในโลกแห่งความจริงจากเจ้านายเผด็จการของเขา Julian Dillinger (Evan Peters) แต่เมื่ออยู่ไปเรื่อยๆ เขาเริ่มเกิดคำถามในใจให้ขบคิดจากเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเจอ และเมื่อได้มาพบกับ Eve Kim (Greta Lee) CEO แห่ง Encom ก็ยิ่งทำให้เขาอยากมีตัวตนจริงๆ ในโลกมนุษย์จนทำให้เขาคิดกบฎต่อเจ้านายนำมาซึ่งสงครามระหว่างมนุษย์และ AI

สำหรับพาร์ทของบทหรือเนื้อเรื่องก็ต้องบอกว่าไม่ได้แปลกใหม่อะไร เราน่าจะเคยเห็นหนังที่เล่าเรื่อง AI ต่อต้านองค์กรเพราะอยากมีตัวตนในโลกมนุษย์กันมาบ้างแล้ว แต่ในความคลิเช่ของเนื้อเรื่องก็ทำให้ได้การเล่าเรื่องในแต่ละจังหวะที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อนให้ต้องคิดกันเยอะหลายตลบ ผู้ชมจะได้พบกับเรื่องราวที่กระชับเข้าประเด็นแบบรวดเร็ว ไม่ต้องมีฉากหรืออะไรที่ชวนง่วงเพราะในเรื่องนี้มีซีนแอคชันให้เราได้สนุกเยอะพอสมควร ตัวหนังทำออกมาได้ดีและน่าติดตามไปตลอดทั้งสองชั่วโมง ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูทั้งสองภาคก่อนหน้านี้มาก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะภาคนี้ไม่ได้ย้อนกลับไปแตะมากนัก มีการเล่าคร่าวๆ พอให้เราทำความเข้าใจเหตุการณ์ในอดีตอยู่พอสมควร ส่วนถ้าใครอยากเข้าใจอีสเตอร์เอ้กต่างๆ ก็อาจจะต้องไปตามเก็บทั้งสองเวอร์ชันก่อนหน้าใน Disney+ กันมาก่อนสักหน่อย

ต่อกันที่เรื่องจุดเด่นสุดๆ ของภาคนี้ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับตอนต้นที่บอกไปว่าสมกับ 15 ปีที่แฟนหนังรอคอยกันมาอย่างยาวนานก็คือ งานสร้างทั้งภาพและเสียงที่ตระการตาขั้นสุด โดยงานภาพแม้ตัวผู้เขียนจะเกิดไม่ทันรับชมภาคแรกเมื่อปี 1982 แต่เชื่อว่าคนในยุคนั้นตอนได้รับชมน่าจะตื่นตาตื่นใจกันไม่น้อย เช่นเดียวกันกับในภาคนี้ที่เทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้ CG ต่างๆ ของหนังมันล้ำยุคแบบสุดๆ เรียกได้ว่าว้าวแทบทุกฉากในเรื่องเลยก็ว่าได้ ขนาดผู้เขียนไม่ได้ดูใน IMAX ยังรู้สึกได้แบบนั้นจนคิดว่าคงต้องกลับไปซ้ำใน IMAX 3D แน่นอน
อีกอย่างที่เป็นพระเอกของภาคนี้เลยก็คือการได้ NIN (Nine Inch Nails) วงอินดัสเทรียลร็อคระดับอาจารย์มาสร้างสรรค์เพลงประกอบหนัง ด้วยดีกรีที่เคยคว้ารางวัลมากมายหลากหลายสถาบันจากการทำเพลงประกอบภาพยนตร์มาหลายเรื่องเป็นเครื่องการันตีถึงความยอดเยี่ยมแน่นอน แต่ละเพลงส่งเสริมอารมณ์ความไซ-ไฟสุดล้ำยุคของหนังได้เป็นอย่างดี ยิ่งอยู่ในระบบ Dolby ATMOS การใช้คำว่า ‘หูเคลือบทอง’ กับเพลงประกอบของพวกเขาก็ไม่เกินเลยไปแม้แต่นิดเดียว

ปิดท้ายด้วยเรื่องการแสดงของตัวละครที่ทำออกมาได้ดีแทบทุกบท เริ่มตั้งแต่ Ares ที่รับบทโดย Jared Leto ซึ่งเราแทบไม่ต้องตั้งคำถามใดๆ เกี่ยวกับฝีมือของเขาอยู่แล้วสามารถถ่ายถอดบทบาทออกมาได้เป็นอย่างดี รวมไปถึง Eve Kim ที่รับบทโดย Greta Lee ซึ่งถ้าใครเป็นคอหนังน่าจะเคยเห็นการแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอจากเรื่อง Past Lives กันมาแล้ว และ Evan Peters ที่มารับบทเป็นตัวร้าย Julian Dillinger ก็เคยถ่ายทอดบทบาท Jeffrey Dahmer ฆาตกรต่อเนื่องสุดโรคจิตในซีรีส์เรื่อง Monster มาแล้ว นอกจากนี้ยังมีนักแสดงมากฝีมืออีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น Gillian Anderson จาก Sex Education, Jodie Turner-Smith จาก After Yang และ Jeff Bridges ที่กลับมารับบทบาท Kevin Flynn เหมือนเดิมในภาคนี้
สุดท้ายนี้ต้องบอกว่าแม้ Tron: Ares จะไม่ได้มีเนื้อเรื่องของหนังที่แปลกใหม่อะไรกับภาพยนตร์แนว AI ก่อนหน้านี้ที่ทยอยออกมามากนัก แต่การได้เข้าไปชมงานภาพและเสียงก็นับว่าสมกับที่แฟนๆ รอคอยมานานถึง 15 ปีเพราะมันยิ่งใหญ่ตระการตาบันเทิงหูจริงๆ คุ้มค่าโสตประสาทและคุ้มค่าเงินทุกบาทที่เสียไปแน่นอน อย่างที่บอกไปว่าผู้เขียนคงไปซ้ำในระบบ IMAX 3D แน่ๆ เพราะแค่โรงธรรมดาก็ทำให้เราว้าวได้แล้ว ใครที่กำลังตัดสินใจอยู่บอกเลยว่าไปดูใน IMAX เลยครับ หนังเข้าฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ แล้วก็หนังมี End-credit เพิ่มเติมแนะนำว่าอย่าเพิ่งรีบลุกไปไหนครับ



