พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง คือแบบอย่างของ “การอนุรักษ์ที่ก้าวหน้า” (progressive preservation) การใช้ความงามของวัฒนธรรมเป็นพลังสร้างความเข้มแข็งให้สังคม ไม่ใช่เพียงความภาคภูมิใจในอดีต แต่เป็นแนวทางของการดำรงอยู่ในอนาคต
มรดกของพระองค์จึงไม่เพียงอยู่ในผืนผ้า หรือพิพิธภัณฑ์ หากแต่อยู่ในวิธีคิดของคนไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่เชื่อว่า “ความเป็นไทย” ไม่ได้หายไปกับกาลเวลา หากเรายังรักษามันไว้ ด้วยการใช้ชีวิตอยู่กับมัน
พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่สำคัญยิ่ง คือ การรับมือกับโลกาภิวัตน์
ในช่วงกว่าเจ็ดทศวรรษแห่งการทรงงาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นพยานของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในสังคมไทย จากประเทศเกษตรกรรมสู่ประเทศอุตสาหกรรม จากสังคมชาวนา สู่ยุคเทคโนโลยีและโลกาภิวัตน์ที่ทุกสิ่งดูจะเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าความทรงจำของวัฒนธรรมจะทันปรับตัว
แต่ในกระแสแห่ง “ความทันสมัย” นั้น พระองค์ทรงเลือกแนวทาง การรักษาอัตลักษณ์โดยทำให้มันมีชีวิตอยู่ในโลกสมัยใหม่ได้จริง
“รักษา” มากกว่า “เก็บ”
พระราชดำริด้านศิลปาชีพที่พระองค์ทรงริเริ่มตั้งแต่ปี 2519 คือภาพสะท้อนชัดเจนของแนวคิดนี้ การอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมไทยภายใต้โครงการศิลปาชีพ ไม่ได้มุ่งเพียงเก็บผ้าทอหรือเครื่องจักสานไว้ในพิพิธภัณฑ์ หากแต่ ทำให้ภูมิปัญญานั้นกลายเป็นอาชีพ เป็นรายได้ และเป็นศักดิ์ศรีของผู้ทำ นี่คือการเปลี่ยน “อดีต” ให้เป็น “ปัจจุบัน” อย่างมีชีวิต
พระองค์ทรงเห็นว่าการรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้ยั่งยืน ต้องทำให้มัน “ใช้ได้จริง” ในโลกใหม่ ไม่ใช่เพียง “สวยงามในตู้กระจก”
การรักษาอัตลักษณ์ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว
โลกาภิวัตน์นำวัฒนธรรมจากทุกมุมโลกมาปะทะกันอย่างไม่มีเส้นแบ่ง พระองค์ทรงใช้ “ผ้าไทย” เป็นสะพานระหว่าง “ความเป็นไทย” และ “สากล” ผ่านการออกแบบเครื่องแต่งกายที่ผสมผสานรูปแบบตะวันตกกับลายไทยดั้งเดิมในแบบร่วมสมัย พระราชสไตล์ของพระองค์กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “soft power” ไทยในยุคที่คำนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก
ผ้าไหมไทยที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นของเก่า ถูกยกขึ้นสู่รันเวย์ระดับโลก กลายเป็นเครื่องยืนยันว่ารากเหง้าและรสนิยมสามารถอยู่ร่วมกันได้ หากมีวิธี “เล่าเรื่อง” ที่เข้าใจโลก
มรดกที่ส่งต่อข้ามรุ่น
ผลลัพธ์ของแนวคิด “รักษาเพื่อให้เดินต่อ” เห็นได้ชัดในชุมชนทั่วประเทศ จากหมู่บ้านทอผ้าที่สกลนคร เชียงใหม่ ไปจนถึงชุมชนจักสานที่เพชรบุรี ผู้หญิงหลายพันคนได้มีอาชีพ มีรายได้ มีเสียงในครอบครัว และกลายเป็นผู้สืบสานศิลป์ไทยรุ่นใหม่
พระองค์ไม่ได้เพียงรักษาวัฒนธรรม แต่ ทรงเปลี่ยนโครงสร้างสังคมชนบท ให้มีพื้นที่สำหรับผู้หญิงในฐานะ “ผู้สร้าง” ไม่ใช่เพียง “ผู้เฝ้ารักษา” สิ่งนี้คือผลสะท้อนเชิงสังคมที่ยังคงส่งต่อมาถึงวันนี้
วัฒนธรรมที่มีชีวิต
สิ่งที่พระองค์ทรงสอนโดยไม่ตรัสตรง ๆ คือ “วัฒนธรรมจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อมันเคลื่อนไหว” วัฒนธรรมไทยไม่จำเป็นต้องหยุดนิ่งเพื่อรักษาเอกลักษณ์ หากแต่ต้องกล้าที่จะเดินไปข้างหน้าโดยไม่ลืมว่าก้าวแรกมาจากที่ใด
และนั่นคือสารสำคัญของการรำลึกถึงพระองค์ในวันนี้ไม่ใช่เพียงการย้อนมองอดีต แต่คือการตั้งคำถามต่ออนาคตว่าเราจะรักษาความเป็นไทยในโลกที่เปลี่ยนเร็วได้อย่างไร โดยไม่ให้มันกลายเป็นเพียงของที่ “เก็บไว้”แต่ รักษา ให้ดำรงอยู่
พระราชดำริด้านศิลปาชีพที่เริ่มตั้งแต่ปี 2519 สะท้อนแนวคิด "รักษา" มากกว่า "เก็บ" โดยเปลี่ยนภูมิปัญญาให้เป็นอาชีพ รายได้ และศักดิ์ศรีของผู้ทำ ทำให้ "อดีต" กลายเป็น "ปัจจุบัน" อย่างมีชีวิต
พระองค์ทรงใช้ "ผ้าไทย" เป็นสะพานระหว่าง "ความเป็นไทย" กับ "สากล" ผ่านการออกแบบที่ผสมผสานรูปแบบตะวันตกกับลายไทยดั้งเดิม



