สามเสน ชุมชนเก่า พหุวัฒนธรรมที่หลอมรวม
หลายคนอาจไม่รู้ว่า คำว่า “สามเสน” จริง ๆ เพี้ยนมาจากคำว่า “สามแสน” ตำนานเล่าว่า เคยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลอยน้ำมาจอดแถวนี้ ต้องใช้คนถึง “สามแสนคน” มาช่วยกันลากขึ้นฝั่ง จนกลายเป็นชื่อย่านว่า “สามแสน” ก่อนจะเรียกสั้น ๆ ว่า “สามเสน” อย่างที่เราใช้กันทุกวันนี้
จาก “ทุ่งสามเสน” สู่ “ย่านคริสตชนเก่า”
เดิมทีพื้นที่แถวนี้คือทุ่งโล่ง เรียกว่า ทุ่งสามเสน มีเพียง วัดสมอราย (ปัจจุบันคือวัดราชาธิวาส) อยู่ริมเจ้าพระยา
จุดเปลี่ยนเริ่มขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่โปรดเกล้าฯ ให้ชาว โปรตุเกส มาตั้งถิ่นฐาน จนเกิดเป็น “หมู่บ้านโปรตุเกส” และสร้างโบสถ์ไม้เล็ก ๆ ชื่อ “วัดน้อย” ก่อนจะกลายเป็น วัดคอนเซ็ปชัญ ในเวลาต่อมา

การหลอมรวมของผู้ลี้ภัยและผู้ศรัทธา
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 มีชาว เขมรคริสต์ ประมาณ 400–500 คน อพยพลี้ภัยสงครามเข้ามาอยู่ร่วมกับชาวโปรตุเกส จนเกิดเป็น “หมู่บ้านเขมร” และมีผู้นำชุมชนคือ เจ้าพระยาวิเศษสงครามภักดี (ต้นตระกูลวิเศษรัตน์ – วงศ์ภักดี)
ไม่นานนัก ชาว ญวณ ราว 300 คนก็ตามเข้ามาอยู่รวมกัน ทำให้พื้นที่นี้เริ่มเป็น ** melting pot** ของวัฒนธรรมและศรัทธา
การตั้ง “หมู่บ้านญวน”
สมัยรัชกาลที่ 3 ชาวญวนอพยพเข้ามาอีกกว่า 1,500 คน พระองค์ถึงกับใช้ เงินส่วนพระองค์ ซื้อที่ดินให้สร้างบ้านเรือน พร้อมโบสถ์ไม้ชั่วคราวชื่อ “วัดเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์” จึงเกิดเป็น “หมู่บ้านญวน” และให้ขึ้นตรงต่อกรมปืนใหญ่

จาก “บ้านเขมร + บ้านญวน” สู่ “ชุมชนคาทอลิกเก่าสามเสน”
ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการตรากฎหมาย ร.ศ. 128 อนุญาตให้มิสซังโรมันคาทอลิกถือครองที่ดินได้ จึงยกพื้นที่ บ้านญวนเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์ และ บ้านเขมรอิมมากูเลตกองเซ็ปชัญ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของมิสซังอย่างเป็นทางการ ทำให้ทั้งสองชุมชนถูกนับรวมกันตั้งแต่นั้นมา
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “สามเสน” ถึงกลายเป็น ย่านคริสตชนเก่า ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความศรัทธาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว

สามเสนวันนี้: เรื่องเก่าเล่าผ่านวิถีใหม่
จากหมู่บ้านไม้เล็ก ๆ ริมเจ้าพระยา สู่ย่านเมืองที่เต็มไปด้วยโรงเรียน อาคารพาณิชย์ และบ้านเรือนที่พัฒนาไปตามยุคสมัย แม้จะมีปัญหาเรื่องที่ดิน คลอง ถนน และการสัญจร แต่สิ่งที่ยังชัดเจนคือ ความเป็นพหุวัฒนธรรม ที่ไม่เคยหายไป
เดินในย่านนี้ คุณจะเห็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่ข้างวัดพุทธ ร้านอาหารญวนอยู่ติดร้านเขมร และครอบครัวลูกหลานโปรตุเกสที่ยังคงศรัทธาและสืบสานวัฒนธรรมเดิม ๆ ทั้งหมดนี้คือ DNA ของสามเสน — ชุมชนที่เกิดจากการหลอมรวมความแตกต่าง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหนในกรุงเทพฯ