กำลังเป็นประเด็นร้อนสำหรับดราม่าครอบครัวระหว่าง ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ กับแม่บังเกิดเกล้า ‘แม่เกตุ’ ที่ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา จากกรณีนี้กลายเป็นเรื่องสะเทือนใจคนทั้งประเทศไม่ใช่เพียงเพราะเป็นเรื่องของคนดังในวงการบันเทิงและอินฟลูเอนเซอร์ในโลกออนไลน์แต่เพราะมันสะท้อนภาพความเปราะบางของครอบครัวไทยยุคนี้ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ลูกที่กลายเป็นเสาหลักของบ้าน’ กับ ‘พ่อแม่ที่ยังคงมีความฝันและความจำเป็นของตัวเอง’
ทุกอย่างเริ่มจากโพสต์ของแม่เกตุที่ออกมาบอกว่า “ขอโทษทุกคน ตอนนี้ไม่ไหวจริงๆ” ก่อนที่เจนนี่จะออกมาโพสต์ตอบโต้ในทำนองว่า ปัญหาครอบครัวเป็นเรื่องปกติแต่การแก้ปัญหาต้องมองที่ต้นเหตุ พร้อมพูดตรงๆ ว่า “ฝืนมานานแล้ว” จากนั้นโลกออนไลน์ก็เริ่มเต็มไปด้วยคำถามว่าใครผิดใครถูกและทำไมแม่ลูกคู่นี้ถึงต้องออกมาพูดผ่านโซเชียล
สิ่งที่ตามมาคือการเปิดใจของทั้งสองฝ่ายที่เต็มไปด้วยความขมขื่น แม่เกตุยอมรับว่าเป็นหนี้มานานทั้งจากการลงทุนที่ผิดพลาดและจากการใช้จ่ายเพื่อสร้างชีวิตใหม่ เธอพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “อยากมีบ้านมีรถของตัวเองมันผิดตรงไหน” ขณะที่เจนนี่ในฐานะลูกสาวกลับเผยว่าเธอเคยช่วยปลดหนี้ให้แม่หลายครั้งโดยที่คนทั่วไปไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่ช่วยเรื่องหนี้เก่าไปหนี้ใหม่มาก็วนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด
ประเด็นเรื่องเงินกลายเป็นจุดแตกหักเมื่อเจนนี่พูดถึงเงินเดือนที่เคยให้แม่เดือนละแสนก่อนจะลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงสองหมื่น ขณะที่แม่เกตุบอกว่าไม่ได้รับเงินครบตามนั้นและบางครั้งถูกตัดขาดจนไม่สามารถเข้าบ้านลูกสาวได้เลย เรื่องรถและบ้านก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดทั้งรถเบนซ์ที่แม่คืนบริษัท รถมินิคูเปอร์ที่แม่เคยนำไปจำนำแล้วลูกต้องตามไปไถ่คืน ทุกอย่างกลายเป็นหลักฐานเชิงสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์ที่พัวพันกับทรัพย์สินมากพอๆ กับความรักความผูกพันในครอบครัว
จุดที่ทำให้สังคมสะเทือนใจที่สุดอาจไม่ใช่เรื่องเงินแต่คือข้อความที่แม่ส่งถึงลูกว่า “จะให้แม่ถูกประจานไหม ถ้าลูกไม่ช่วยแม่จะออกมาไลฟ์พูดทุกอย่าง” ซึ่งเจนนี่ตอบว่า “ถ้าแม่ทำเพื่อประชดมันจะไม่ดีเลย” สุดท้ายแม่ก็ยังยืนยันจะไลฟ์เวลา 11 โมงเช้าและเมื่อถึงเวลานั้นทั้งคู่ต่างก็ออกมาพูดในมุมของตัวเองท่ามกลางน้ำตาและความเจ็บปวดอย่างที่คนทั้งประเทศได้เห็นกัน
เหตุการณ์นี้อาจดูเหมือนแค่เรื่องดราม่าของคนดังแต่แท้จริงแล้วมันคือภาพจำลองของครอบครัวไทยจำนวนไม่น้อยที่คนเป็นลูกกลายเป็นผู้แบกรับความคาดหวังทางเศรษฐกิจของบ้านตั้งแต่อายุน้อยขณะที่พ่อแม่ก็ยังต้องการยืนด้วยขาของตัวเอง บางบ้านจัดการด้วยการพูดคุยทำความเข้าใจแต่บางบ้านกลับแตกหักเพราะมองคนละมุม และเมื่อเทคโนโลยีเข้ามาแทนพื้นที่ที่ควรจะได้พูดกันตรงๆ ก็กลับกลายเป็นว่าเรื่องในบ้านก็หลุดออกไปสู่สายตาคนนอกได้ง่ายกว่าที่เคย
ในมุมหนึ่งหลายคนอาจรู้สึกสงสารแม่ที่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งแต่อีกมุมหนึ่งก็เห็นใจฝ่ายลูกที่เหนื่อยล้าจากการต้องเป็นเสาหลักให้ทุกคนในชีวิต ความรักในครอบครัวที่เคยเป็นสิ่งสวยงามกลับกลายเป็นภาระหนักที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองมากกว่าการกอดกันไว้เหมือนเดิม
เรื่องราวของเจนนี่กับแม่เกตุไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อให้เราตัดสินว่าใครผิดหรือถูก แต่มันเตือนให้สังคมตั้งคำถามว่า “เราควรจะรับมือกับความคาดหวังในครอบครัวอย่างไร” เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าฝ่ายใดจะพูดอะไรความเสียหายที่แท้จริงคือความรักที่แปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองและความสุขที่จะไม่เกิดขึ้นระหว่างแม่กับลูกอีกเลยรวมถึงอาจส่งผลกระทบกับคนรอบข้างอีกด้วย



