SCB EIC ชี้ “Tourism War” หรือสงครามการท่องเที่ยวในเอเชีย กำลังทวีความรุนแรง หลังหลายประเทศเดินหน้ายกระดับภาคการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนสูง...ขณะที่ไทยเริ่มเสียความได้เปรียบจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หดตัว -8% เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่โตแรงกว่า 10% เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม และจีน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า “สมรภูมิ Tourism war” ในเอเชียกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างสิ้นเชิงโดยแต่ละประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน ต่างวางยุทธศาสตร์ผลักดันการท่องเที่ยวให้เป็น “เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลัก” ผ่านนโยบายเชิงรุก ตั้งแต่การ ยกเว้นวีซ่า การเพิ่มเส้นทางบิน การจัดอีเวนต์ระดับโลก ไปจนถึงการใช้คอนเทนต์และอินฟลูเอนเซอร์สร้างแบรนด์ประเทศ
ในขณะที่ไทยตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39 ล้านคนในปี 2568 แต่กลับเผชิญแรงกดดันจากตลาดจีนที่หดตัวกว่า -35%YoY จากทั้งความกังวลด้านความปลอดภัย และการแข่งขันรุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้านที่เร่งรุกตลาดเดียวกัน
EIC ระบุว่า “ตลาดนักท่องเที่ยวหลัก” ของประเทศในภูมิภาคมีการทับซ้อนกันสูง โดยกว่า 80% ของตลาดมาจากเพียง 18 ประเทศ ซึ่งหมายความว่าไทยกำลังเผชิญการแข่งขันตรงจากคู่แข่งอย่าง เวียดนามและสิงคโปร์ ที่มีตลาดนักท่องเที่ยวทับซ้อนกับไทยถึง 7-8 ประเทศ
ในแง่รายได้ ไทยยังมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปต่ำกว่าหลายประเทศ และมีแนวโน้มลดลงจากปี 2019 ตรงข้ามกับญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนถึงความจำเป็นในการยกระดับ “คุณภาพการท่องเที่ยว” และเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
EIC แนะภาคธุรกิจไทยต้อง “ปรับกลยุทธ์เชิงรุก” ตามกลุ่มนักท่องเที่ยว เช่น
1. รักษาตลาดหลัก ที่ไทยยังเป็นผู้นำ เช่น อินเดีย รัสเซีย และอังกฤษ ด้วยการยกระดับบริการ
2. ขยายตลาดใหม่ อย่างญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และแคนาดา ผ่านแบรนด์ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์
3. ฟื้นตลาดที่ชะลอตัว อย่างจีนและเกาหลีใต้ ด้วยแคมเปญร่วมภาครัฐ-เอกชน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรพัฒนา “ข้อมูลเศรษฐกิจการท่องเที่ยว” ให้ทันสมัยและเปิดให้เอกชนเข้าถึง เพื่อใช้วางแผนเชิงรุก พร้อมเร่งสร้าง “แบรนด์ประเทศไทย” และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
“Tourism war ไม่ใช่แค่การแข่งขันด้านนักท่องเที่ยว แต่เป็นสงครามเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ที่ประเทศต้องใช้ยุทธศาสตร์ ข้อมูล และภาพลักษณ์ในการขับเคลื่อนรายได้”


