สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประชุมหารือร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำ หลังพายุ “คัลแมกี” ส่งผลให้มีมวลน้ำไหลเข้าเขื่อนภูมิพลเพิ่มขึ้นอีกระลอก โดยมีมติให้ทยอยเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล โดยไม่ต้องเปิดทางระบายน้ำล้นฉุกเฉิน (Spillway) เพื่อควบคุมระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวภายหลังการประชุมว่า ปีนี้มีฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยามากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2565 โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายนที่ได้รับอิทธิพลจากพายุ “คัลแมกี” ทำให้เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหลือพื้นที่รองรับน้ำเพียงราว 127 ล้านลูกบาศก์เมตร
เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการล้นเขื่อน ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้เพิ่มการระบายน้ำเป็นลำดับ โดย
• วันที่ 10 พ.ย. ปรับจาก 45 ล้าน ลบ.ม./วัน เป็น 48 ล้าน ลบ.ม./วัน
• วันที่ 11 พ.ย. เพิ่มเป็น 53 ล้าน ลบ.ม./วัน
• วันที่ 12 พ.ย. เพิ่มเป็น 55 ล้าน ลบ.ม./วัน
และหากจำเป็นอาจระบายได้สูงสุดไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม./วัน
มวลน้ำดังกล่าวจะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่าง คาดปริมาณน้ำผ่านจังหวัดนครสวรรค์สูงสุดราว 3,100 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาสูงขึ้นจาก +17.77 เมตร เป็นประมาณ +18.00 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งอาจกระทบพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีและชัยนาท ส่วนท้ายเขื่อนเจ้าพระยาได้เริ่มปรับเพิ่มการระบายจาก 2,800 ลบ.ม./วินาที เป็น 2,900 ลบ.ม./วินาที โดยยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2554 ที่เคยระบายสูงสุดถึง 3,700 ลบ.ม./วินาที
นายไพฑูรย์กล่าวว่า ทุกหน่วยงานตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะจังหวัดที่เผชิญน้ำท่วมต่อเนื่อง เช่น พระนครศรีอยุธยา จึงเร่งประสานกรมชลประทานระบายน้ำเข้าสู่ทุ่งลุ่มต่ำเพิ่มเติม ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์ให้เร็วที่สุด
คาดว่าการระบายน้ำรอบนี้จะเป็น “มวลน้ำชุดสุดท้ายของฤดูฝนปี 2568” เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ประเมินว่า ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ปริมาณฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลง และไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามาเพิ่มเติม เพราะมวลอากาศเย็นจากจีนเริ่มแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ซึ่งจะนำเข้าสู่ช่วงอากาศหนาวอย่างเต็มตัว
ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาให้ต่ำกว่า 1,000 ลบ.ม./วินาที ได้ภายในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานดูแลผู้ประสบอุทกภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมเร่งหาแนวทางเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเกิน 30 วัน และผลักดันโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากระยะยาว โดย สทนช. จะรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในวันนี้


