ในขณะที่ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด ยังคงเป็นวงจรซ้ำซากในหลายฤดูกาล กลุ่ม ปตท. เลือกใช้ศักยภาพขององค์กรขนาดใหญ่ให้เป็น ‘สะพานเชื่อมโอกาส’ สู่ภาคเกษตร โดยจับมือกับกรมการค้าภายใน (DIT) กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าผลักดันโครงการ “กลุ่ม ปตท. ชวนคุณสร้างรอยยิ้มให้เกษตรกร” อย่างต่อเนื่อง
ในรอบล่าสุด (29–30 กรกฎาคม 2568) ใช้พื้นที่กลางของสำนักงานใหญ่ เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (EnCo) กลายเป็น “ตลาดผลผลิตตรงจากสวน” ที่มีทั้งลำไยจากลำพูน มะพร้าวน้ำหอมจากราชบุรี ผักและผลไม้หลากชนิดจากนครปฐมและเพชรบุรี นำมาจำหน่ายโดยตัวเกษตรกรเอง โดยไม่มีคนกลาง
กิจกรรมนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคในเมืองได้เข้าถึงผลผลิตสดใหม่คุณภาพสูงในราคาที่เป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งรูปธรรมของการนำพื้นที่และทรัพยากรขององค์กรไปช่วยสร้างตลาดใหม่ให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ นอกจากการเปิดพื้นที่ขายตรงแล้ว กลุ่ม ปตท. ยังทำหน้าที่เป็น ‘ผู้รับซื้อ’ และ ‘ผู้กระจายผลผลิต’ โดยตรง โดยรับซื้อลำไย มะม่วง มะพร้าว และนมโคที่ล้นตลาดจากกลุ่มเกษตรกรในหลายจังหวัด เพื่อส่งต่อไปยังเครือข่ายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาทิ
• โรงเรียนในโครงการอาหารกลางวัน
• โรงพยาบาลของรัฐ
• ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
• ลูกค้าในเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station
ในปีที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท. ได้รับซื้อและกระจายผลผลิตทางการเกษตรไปแล้วกว่า 200 ตัน ครอบคลุมผลไม้กว่า 12 ชนิด จากเกษตรกรใน 8 จังหวัด และกระจายไปยังผู้รับกว่า 60,000 ราย ทั่วประเทศ
แม้กิจกรรมจะเป็นเพียง 2 วันในแต่ละรอบ แต่ผลตอบรับจากผู้บริโภคและเกษตรกรสะท้อนให้เห็นว่า “ตลาดที่มีคนพร้อมซื้อของดีในราคายุติธรรมยังมีอยู่เสมอ” หากได้รับการออกแบบให้เชื่อมต่อกันได้จริง
ผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. โดย ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง CEO ปตท. ย้ำเจตนารมณ์ในงานว่า องค์กรไม่เพียงต้องเติบโตในระดับโลก แต่ต้องเติบโตไปพร้อมกับสังคมไทย ‘อย่างยั่งยืน’ การช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจองค์กร
ขณะที่ ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงบทบาทภาคเอกชนว่า การช่วยเหลือเกษตรกรไม่ควรเป็นเพียงความร่วมมือเฉพาะกิจ แต่ต้องกลายเป็นกลไกประจำของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ตอกย้ำ โมเดลนี้ไปต่อได้ไกลกว่า ‘ผลไม้’
กิจกรรม ‘สร้างรอยยิ้มให้เกษตรกร’ ของกลุ่ม ปตท. แสดงให้เห็นว่า ภาคเอกชนสามารถเป็นฟันเฟืองในระบบเศรษฐกิจพึ่งพาได้จริง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนสูงเกินกำลัง เพียงแค่มี ‘พื้นที่’ และ ‘ความตั้งใจ’ ก็สามารถเปลี่ยนจุดเล็ก ๆ ในเมืองให้กลายเป็นตลาดของชุมชนได้ และที่สำคัญ ยังกลายเป็นต้นแบบของธุรกิจไทยที่สามารถยืนเคียงข้างชาวบ้าน ขณะเดียวกันก็เติบโตไปในระดับโลก
เพราะอนาคตของธุรกิจไทย อาจไม่ได้วัดแค่ตัวเลขกำไร แต่อาจวัดได้จาก ‘จำนวนรอยยิ้ม’ ที่ช่วยให้คนลุกขึ้นมายืนด้วยตนเองได้อย่างมั่นคง
