นักวิชาการเสนอคลองอ้อมรับปริมาณน้ำเพิ่มหาดใหญ่
ผศ.ดร.ไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เสนอแนวคิดเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำ ไม่ให้ผ่านกลางมืองหาดใหญ่เพื่อรับมือปริมาณน้ำที่มาจากสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก โดยเสนอว่า สิ่งที่เกิดกับเมืองหาดใหญ่ในเวลานี้ มาจากปริมาณน้ำที่มากกว่า ความสามารถของคลอง ร.1 ประมาณ 3-4 เท่า หรือประมาณ 4,000-5,000 ลบม.ต่อวินาที ฝนตกสะสมที่เกิดขึ้นน่าจะมีประมาณ 900 มม. ปริมาณนี้เท่ากับฝนทั้งปีที่ตกในภาคอีสาน
“เมื่อน้ำเยอะ ก็ต้องมีทางนำน้ำออกสู่ทะเลสาปสงขลาไม่ให้ผ่านตัวเมือง แนวทางเหมือนคลอง ร.1 สิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่มความสามารถของคลองร. 1 ให้มากขึ้น โดยขยายช่วงปลายที่ผ่านถนนสาย 414 ที่เป็นพื้นที่เกษตรนอกชุมชนเมือง ตามหลักน้ำต้องไหลลงทะเลสาปสงขลา โดยมีช่องทาง คือ ลำน้ำธรรมชาติ คลองอู่ตะเภา คลองท่าช้าง โดยมีระบบลำเลียงน้ำผ่านคลอง ร.1 ที่ระบายน้ำได้ 1,200 ลบม.ต่อวินาทีคลองร .3 และ คลองอู่ตะเภา (ระบายน้ำ 465 ลบม.ต่อวินาที ) ”
ดร.ไชยาพงษ์ กล่าวว่า ในเมืองเมื่อชุมชนโอบล้อมคลองหมดแล้วขยายคลองทำไม่ได้ ต้องขยายคลอง ร.1 แล้วเพิ่มจุดดึงน้ำเพิ่ม จากคลองอู่ตะเภา เพื่อให้มาเข้าคลอง ร.1 ช่วงปลาย ต้นคลองเท่าเดิม กลางและท้ายใหญ่ขึ้น มีจัดรับน้ำจากคลองอู่ตะเภาเพื่มทางด้านเหนือน้ำของคลองร. 1 ถ้าทำได้แนวคิดนี้จะช่วยเพิ่มการลำเลียงน้ำได้มากถึง 2000 ลบม.ทำให้น้ำฝั่งซ้ายจากสะเดา และนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ต้องเพิ่มประสิทธิภาพคลอง ร. 3 มากกว่า 200. ลบม. เพื่อตัดน้ำฝั่งขวาไปลงคลอง ร.3 4 เพิ่มเติม
“แนวคิดเป็นคลองอ้อม ซ้ายคลองร. 1. ขวา ร. 3 มีการดึงน้ำเข้าคลองร. 3 เพิ่ม แนวคิดมองเชิงวิชาการ ทางเลือกในการนำน้ำผ่าน อย่างก็ดีจัดใช้วิธีใดอยู่ที่กรมชลประทานจะพิจารณา รูปแบบการทำทางระบายน้ำผ่านเมืองทำได้หลายอย่าง หากมีแนวคิดจะทำวงแหวนอยู่แล้วอาจจะทำคู่ขนานไปก็ได้ แนวคิดคือ การทำยังไงให้น้ำไม่ไหลผ่านเมือง “
นอกจากการแก้จากปริมาณน้ำ เมื่อฝนตกมากเกิดความสามารถที่จะระบาย โครงการนี้พอช่วยให้การะบายน้ำดีขึ้นได้ แต่ต้องมีการคาดการณ์สภาพฝน ที่แม่นยำ การวิเคราะห์ต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ เมื่อวิเคราะห์ได้แล้วต้องแจ้งเตือนให้ทัน เมื่อข้อมูลไม่ครบจะเตือนไม่ได้ ถ้าข้อมูลครบจะรู้ว่าน้ำมาเมื่อใด น้ำจะมาอย่างไร ข้อมูลครบ มีการตระหนักรู้ การเตือนภัยจะละเอียดจะช่วยคนได้


