ณพ ณรงค์เดช เปิดหลักฐานมีการเซ็นจริงหุ้นวินด์

14 พ.ย. 2568 - 11:05

  • ณพ ณรงค์เดช เปิดหลักฐานมีการเซ็นจริงหุ้นวินด์ เอนเนอยี่

  • เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมแต่ตั้งข้อสังเกตบางประการ

  • พร้อมที่จะต่อสู้ตามช่องทางกฎหมายที่มีอยู่

ณพ ณรงค์เดช เปิดหลักฐานมีการเซ็นจริงหุ้นวินด์

นายณพ ณรงค์เดช แถลงคดีโอนหุ้นวินด์ เอนเนอยี่ โฮลดิ้ง ร่วมกับ นายไกรศักดิ์ ขัดคำ และนายเฉลิมชัย เขียวประดิษฐ์  โดยนำพยานหลักฐาน มาแสดงกับสื่อมวลชน และกล่าวว่า ผมได้ซื้อบริษัทนี้มาในปี 2558 โดยได้ถามพี่น้องว่าสนใจจะลงทุนหรือไม่ และได้รับคำตอบว่าไม่สนใจ ต่อมาในปี 2559 มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง โดยขายหุ้นให้กับคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา วันที่คุณหญิงซื้อหุ้นได้ขอให้มีผู้มาเป็นตัวแทนถือหุ้น โดยบอกว่าธุรกิจนี้ยังไงก็จะตกเป็นของหลานคุณหญิงคือบุตรชายของผม ขอให้ผมทำธุรกิจนี้ให้ดี  

“ผมจึงขอให้คุณพ่อ (นายเกษม ณรงค์เดช) เป็นตัวแทน คุณพ่อก็ยินดี จึงมีการทำหนังสือแต่งตั้งตัวแทนขึ้น โดยมีผมคุณพ่อ คุณหญิง และทนายความทราบเรื่องนี้ เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย “ 

เอกสารเกี่ยวกับการซื้อหุ้นและการแต่งตั้งตัวแทน รวม 5 ฉบับได้ทำขึ้นในปี 2559 และ 2560 ซึ่งในขณะนั้น ตัวผมได้ขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อในการขอยืมชื่อสำหรับโอนเอกสารเท่านั้น โดยท่านไม่ต้องมีภาระในการชำระค่าหุ้นใดๆ  

“คลิปเสียงการพูดคุยที่นำมาเปิดวันนี้ เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล อยู่ในช่วงเดือนก.พ. 2561 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการทำเอกสารที่ถูกกล่าวหาว่าปลอมถึงสองปี และมีเสียงคุณพ่อยอมรับว่าเซ็นเอกสารชัดเจน” นายณพ กล่าว 

ทั้งนี้ในคลิปมีการสนทนาที่อ้างว่า นายเกษมรับรู้ว่าหุ้นที่อยู่ในมือไม่ใช่ของนายเกษมและไม่ได้จ่ายเงินค่าหุ้น โดยได้มีการเซ็นเอกสารโอนหุ้นคืนให้คุณหญิงก่อแก้ว เพื่อเปิดเผยชื่อเจ้าของเนื่องจากบริษัทกำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ 

“ฉันมีหน้าที่อย่างเดียวคือถึงเวลาเซ็นขายก็เซ็น เซ็นให้เซ็นไปเรื่อยๆ ฉันถึงบอกว่าตอนหลังบอกไม่เอาแล้วเว้ย ดึก ๆ ดื่น ๆ ฉันจะต้องนั่งเซ็นไอ้นี่ให้เขา เพราะฉะนั้นเอาคืนไปหมดดีกว่า” เสียงดร.เกษม ในคลิประบุ 

นายณพยืนยันว่า ตนเองเป็นเจ้าของเดิม เข้าลงทุนด้วยตนเองตั้งแต่ปี 2558 และคุณหญิงกอแก้วเป็นผู้รับซื้อหุ้น และเป็นเจ้าของต่อในปี 2559 โดยมีเส้นทางการเงินที่ชัดเจน มีการพิสูจน์ในศาล ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปลอมแปลงเอกสารเพื่อเป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนเองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว 

สำหรับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีแพ่ง ศาลระบุว่าโจทก์ (พี่น้องครอบครัวณรงค์เดช) ไม่สามารถแสดงหลักฐานการชำระค่าหุ้นที่ชัดเจนได้ และไม่น่าเชื่อว่าคุณเกษมจะฟ้องร้องเพื่อบังคับตามเอกสารที่ตนเองรู้ว่าไม่ได้จัดทำขึ้น หากนายเกษมมีสิทธิ์ในหุ้นจริงก็สามารถจัดสรรหุ้นได้ตามความประสงค์  

นายณพ ยังกล่าว ถึงกรณีที่โดนกล่าวหาว่าเป็นลูกอกตัญญู เอาของๆ พ่อไปให้แม่ยาย เห็นครอบครัวคนอื่นดีกว่าตัวเอง นายณพ กล่าวว่า ตนเองเป็นผู้ซื้อธุรกิจนี้มา โดยมีการพิสูจน์ในศาลชัดเจน ว่าหุ้นเป็นการลงทุนของตนและคุณหญิง  ยอมรับว่าคุณหญิงก่อแก้วได้เข้ามาช่วยเหลือตนในวันที่ลำบาก เพราะขณะนีั้นไม่มีใครรู้ว่าธุรกิจวินด์ฯ จะดีหรือไม่ดี ทำให้ปัจจุบันตนรู้สึกผิดที่ไม่สามารถดูแลคุณหญิงกอแก้วและลูกๆ   

นายณพยังเปิดเผยคลิปแสดงหลักฐานว่า หลายปีที่ผ่านมา นายดณ บุตรชายของตนพยายามเข้าไปพบและดูแลคุณปู่ คือ ดร.เกษม แต่ถูกคนในบ้าน อาทิ คุณกรณ์ปิดกั้นไม่ให้พบมาโดยตลอด รวมถึงตนเองก็เข้าพบไปดูแลคุณพ่อไม่ได้นานหลายปีที่ผ่านมา จนตอนนี้เป็นห่วงมากเพราะทราบว่าคุณพ่อป่วย มีอาการความจำ อาการทางสมอง ทำให้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ 

ในการแถลงข่าวนายณพ ได้ตั้งข้อสังเกตกระบวนการยุติธรรม ว่ามีความไม่ปกติที่พบ คือ  

กรณีตำรวจที่รับผิดชอบคดีเอกสารว่าปลอมหรือไม่ปลอม พบว่า มีผู้กำกับจาก สน.ห้วยขวาง มารับแจ้งความที่บ้านคุณพ่อในคดีที่เกี่ยวข้องกับ สน.ทองหล่อ และตั้งข้อสงสัยว่าปกติแล้วตำรวจมีบริการรับแจ้งความถึงบ้านหรือไม่ 

การตรวจพิสูจน์หลักฐาน ผลการตรวจลายมือออกภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งนายณพตั้งคำถามว่ารวดเร็วผิดปกติหรือไม่ แม้แต่คดีสำคัญระดับชาติก็ใช้เวลาเป็นเดือน และ คณะกรรมการอีก 2 คน จนตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร  

ทางด้านอัยการและผู้พิพากษา นายณพได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ตั้งแต่ปี 2565 เกี่ยวกับการที่อัยการได้เดินทางมาที่บ้านของพี่ชายตน และยังได้ร้องเรียนต่อ ก.ต. ในปี 2565 เรื่องอธิบดีผู้พิพากษาเข้าออกบ้านคู่ความและรองอธิบดีสั่งสำนวนที่ตนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม

ในประเด็นคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว นายณพตั้งข้อสงสัยว่าทำไมศาลจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้โจทก์ถึง 100% ทั้งที่โจทก์อ้างความเป็นเจ้าของเพียง 49% และคำสั่งนี้ยังคงอยู่แม้โจทก์จะแพ้คดีทุกข้อหาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แล้ว 

นายณพ กล่าวอีกว่าตนยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และพร้อมที่จะต่อสู้ตามช่องทางกฎหมายที่มีอยู่ พร้อมยินดีเข้าร่วมการเสวนาทางวิชาการ หรือออกรายการโทรทัศน์ทุกรายการ  และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคู่กรณีในทุกเวที เพื่อให้สังคมได้รับรู้ความจริง 

 “คดีความนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องมรดก เพราะส่วนใหญ่ยังไม่มีการจัดสรร แต่เป็นเรื่องของธุรกิจที่ต้องมีการลงทุน และคุณพ่อเซ็นเอกสารให้ในฐานะตัวแทนเท่านั้น ผมกลายเป็นจำเลยสังคม ทั้งที่ผมเป็นเจ้าของ คุณหญิง(กอแก้ว) เป็นเจ้าของ มีคนวางแผนใช้ประโยชน์จากเรื่องสุขภาพของคุณพ่อ ผมเป็นห่วงสุขภาพของคุณพ่อมาก” นายณพ กล่าว  

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์